MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำพิพากษาแห่งปี"52 ปิดฉากหลายคดีใหญ่

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


คำพิพากษาแห่งปี"52 ปิดฉากหลายคดีใหญ่





ปิดฉาก"ป๋าลอ"อุ้มฆ่า2แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์

ปิดฉาก"ป๋าลอ"อุ้มฆ่า2แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์

สิ้น สุดลงเสียทีสำหรับคดีประวัติศาสตร์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต "ป๋าลอ" พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผบช.ประจำตร. หัวหน้าทีมอุ้มฆ่าแม่ลูก นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เมียและลูก นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯ เมื่อ 15 ปีก่อน

ขณะที่ลูกทีม พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีต สว.สส.สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี นายนิคม หรือ ป๊อด มนต์ศิริ และ นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือ "พงษ์ ปากกว้าง" ที่ลงมือสังหาร 2 แม่ลูกแล้วอำพรางเป็นคดีรถชน โดนคุกตลอดชีวิต

ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 5-6 คน ต้องโทษจำคุกลดหลั่นกัน

ต้น ตอของคดีประวัติศาสตร์ เกิดจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานในวังเจ้าชาย ไฟซาล ประเทศซาอุดีอาระเบีย ลักลอบขนเครื่องเพชรจำนวนมากกลับเมืองไทยช่วงปี 2533 หลังจากนั้นตำรวจใช้เวลาไม่นาน จับกุมและยึดเครื่องเพชรจำนวนมากส่งคืนได้สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ไปทั่วโลก เพราะเพชรส่วนใหญ่รวมถึง "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ ที่มีคุณค่ามากที่สุดถูกปลอมแปลงขึ้นส่งกลับคืนไป

จุดนี้ทำให้เกิด ข้อสงสัยว่าเกิดการ "อมเพชร" ขึ้นในหมู่ตำรวจที่ร่วมทำคดี ทำให้นายสันติ ในฐานะพ่อค้ารับซื้อเพชรต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะถูกต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลอมเพชรให้พล.ต.อ.คนดัง จนต้องถูกจับกุมดำเนินคดี แต่นายสันติไม่เคยปริปากซัดทอดใคร เพราะเกรงกลัวอิทธิพลมืดจะลุกลามไปถึงครอบครัว

แต่แล้วเรื่องที่กลัวก็เป็นความจริงขึ้นมาจนได้

เมื่อ วันที่ 1 ส.ค. 2537 มีคนไปพบศพนางดาราวดีและด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เมียกับลูกเสี่ยสันติ กลายเป็นศพคารถเบนซ์ บนถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ในสภาพรถถูกชน

เมื่อดูรูปการณ์แล้วน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ "ข่าวสด" เป็นสื่อฉบับแรกที่ออกมาสวนกระแสว่าเรื่องนี้เป็นการฆาตกรรม ที่เชื่อมโยงไปถึงคดีเพชรซาอุฯ เพราะทั้งคู่หายตัวออกจากบ้านไปนานกว่า 1 เดือนก่อนกลายเป็นศพ กลายเป็นประเด็นที่สั่นสะเทือนไปทั่ววงการสีกากี เพราะประเด็นข่าวมุ่งไปที่เพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แถมยังมีการยืนยันจากสถาบันนิติเวชว่าเป็นอุบัติเหตุอีกต่างหาก

แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทยขณะนั้น รับรู้เรื่องไม่ชอบมาพากลก่อนหน้าที่ 2 แม่ลูกจะเสียชีวิต จึงสั่งตั้งชุดทำงานพิเศษ รวบรวมมือปราบพระกาฬจากนครบาลและกองปราบปรามลงพื้นที่ทันทีจนพบเบาะแส หลายอย่าง ซึ่งในห้วงนั้น พ.ต.ท.พันศักดิ์ หน.ทีมอุ้มฆ่า ก็ได้รับคำสั่งมาร่วมช่วยทำคดีด้วย แต่ถูก พ.ต.ท. เมธี กุศลสร้าง รองผกก.1 ป. หลอกล่อจนคายความลับออกมา อันนำไปสู่การถูกจับกุมเป็นคนแรก และให้การซัดทอด "ป๋าลอ" เป็นผู้สั่งการให้อุ้ม 2 แม่ลูก เพื่อบีบเสี่ยสันติคายความลับเรื่องเพชร

ภายหลังทีมสังหารถูกจับ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ยอมสาร ภาพว่า เมื่อได้รับคำสั่งฆ่าก็พาสองแม่ลูกขึ้นรถเบนซ์ขับมายังจุดพบศพ ให้ลูกน้องใช้เหล็กฟาดจนตาย ก่อนจับขึ้นนั่งบนรถเข็นออกไปชนกับรถสิบล้อเพื่ออำพรางคดี ซึ่งต่อมาในวันที่ 14 ก.ย. 2537 "ป๋าลอ" เข้ามอบตัวพร้อมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "ป๋าลอ" และทีมอุ้มฆ่า ต่อมาวันที่ 3 มี.ค. 2549 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิ่มโทษ "ป๋าลอ" เพียงคนเดียวให้ประหารชีวิต ส่วนทีมอุ้มฆ่าจำคุกตลอดชีวิต จึงทำให้ "ป๋าลอ" ยื่นขอฎีกา

จนกระทั่งวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

ตัดสินประหารชีวิตสถานเดียว!!

ฎีกายืนคุก50ปีโล้นกามฉาว"ภาวนาพุทโธ"




"จ่ามี"ไม่รอด-ศาลอุทธรณ์ยืนประหาร

คำ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหาร นายสิทธิพร ขำอาจ หรือ "จ่ามี" อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และ นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ อดีต ส.จ.เลย ในฐานะผู้จ้างวานฆ่าแม่ นางคมคาย พลบุตร อดีตส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้สองจำเลยต้องคอตกเดินเข้าคุกรอชดใช้กรรม

คดีระเบิดรถยนต์ที่นาง ปัทมา เฟื่องประยูร เมียนายสนิท เฟื่องประยูร หรือ "ส.จ.หนิด" อดีตส.จ. จันทบุรี แม่ของส.ส.คมคาย เป็นข่าวโด่งดังเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2540

หลังจากนางปัทมาขับรถเบนซ์ของส.จ.หนิด จากบ้านไปเรียนที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี

แต่ช่วงที่ขับรถขึ้นลานจอด ใต้ท้องรถเกิดครูดกับเนินปูนจนระเบิดที่ผูกไว้ระเบิดขึ้น

ช่วง แรกในการสืบสวน สร้างความสับสนมึนงงให้ตำรวจเป็นอย่างมาก เพราะระเบิดดังกล่าวทำงานจากการจุดชนวนด้วยรีโมตคอนโทรล คนร้ายจะต้องอยู่ใกล้ๆ เพื่อลงมือจะได้ไม่ผิดตัว แต่ประวัตินางปัทมาไม่เคยมีเรื่องกับใคร สุดท้ายจึงพบว่าคนร้ายติดระเบิดไว้เพื่อสังหารส.จ.หนิดผู้เป็นสามี มูลเหตุมาจากปัญหาการเมืองที่ต่อสู้กันอย่างรุนแรงในพื้นที่

แต่ระเบิดเกิดไม่ทำงานจนนางปัทมานำไปใช้แล้วรับเคราะห์ไปแทน

เมื่อ ได้ประเด็นที่ชัดเจน ทีมสืบสวนจึงลุยเต็มที่เพื่อหาข้อมูลให้มากที่สุด จนโยงใยไปถึงกลุ่มมือสังหาร ที่ปรากฏชื่อ "จ่าฤทธิ์" หรือ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ เทวานุรักษ์ ตำรวจสภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ร่วมทีมอยู่ด้วย

เมื่อถูกเจ้านายเรียกไปซักถาม "จ่าฤทธิ์" ก็เปิดปากสารภาพจนหมดเปลือก

หลัง นำข้อมูลที่ได้ไปรวมเข้ากับหลักฐานอื่น จึงเป็นที่มาของการออกหมายจับและจับกุม "จ่ามี" และ "ส.จ.รักษ์" รวมถึง 2 มือระเบิด นายกนกพล หรือ เหน่ เยี่ยมสวัสดิ และนายโสภณ ปัทมานุช หรือ "แดง ฟู"

ด้วยความกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก นายกนกพลจึงชิงเข้ามอบตัวก่อน พร้อมให้การสารภาพและซัดทอดผู้บงการทั้งหมด

ตำรวจดำเนินคดีและส่งฟ้องศาลนายกนกพลเป็นรายแรก ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

ส่วน นายโสภณยังตามตัวไม่เจอจนถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่แน่ใจว่ายังกบดานอยู่ หรือถูกฆ่าตัดตอนไปแล้ว เนื่องจากเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่จะพาไปหาผู้บงการตัวจริง

ชุดสืบสวนต้องกันตัว จ่าฤทธิ์ และลูกน้อง คือนายจเร สุขเจริญ หรือ "เร ชาร์กี้" ไว้เป็นพยาน เพราะรู้ขั้นตอนต่างๆ ในการวางแผน

แม้ จะมีข้อมูลที่พร้อม และจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้เกือบทั้งหมด แต่คดีมีความวุ่นวายตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะการตายของ 2 พยานสำคัญ "จ่าฤทธิ์" และ "ไอ้เร" ลูกน้องคนสนิท หลังจากขอตำรวจออกจากเซฟเฮาส์กลับบ้านได้ไม่นาน

"จ่าฤทธิ์" ยิงตัวตาย คาดว่ามาจากความเครียดที่ถูกอัยการสั่งฟ้อง ทั้งที่ตำรวจกันตัวไว้เป็นพยาน และให้ความร่วมมือทุกอย่างจนสามารถพิชิตคดีได้สำเร็จ ส่วน "ไอ้เร" ถูกยิงตายคาบ้านพัก

ซึ่งนอกจากจะฟ้องจ่าฤทธิ์แล้ว อัยการยังสั่งไม่ฟ้อง จ่ามี ส.จ.รักษ์ ร้อนถึงผู้ว่าฯ จันทบุรี สมัยนั้นต้องทำหนังสือแย้งความคิดเห็น กระทั่งอัยการสูงสุดดึงเรื่องไปดูแลเอง จนกระทั่งมีการสั่งฟ้องจ่ามี ส.จ.รักษ์ และผู้ต้องหาอื่นทั้งหมด

ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา ประหารชีวิต จ่ามี ส.จ.รักษ์ และมือระเบิดอีก 2 คน คือ นายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย จ.ส.อ.นิคม จิตรกูล หรือ จ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งต่อมาจ่ามี ส.จ.รักษ์ และนายประสงค์ ยื่นอุทธรณ์ ส่วนเปี๊ยก ซีโฟร์ ไม่ยื่น เพราะป่วยอยู่ในคุกเดินเหินไม่ได้ คิดว่าหากรับโทษอยู่ในคุกน่าจะได้รับการรักษาที่ดีกว่าออกมาอยู่ข้างนอก

"จ่ามี"ไม่รอด-ศาลอุทธรณ์ยืนประหาร



เวลาผ่านไป 2 ปีเศษ ศาลอุทธรณ์อ่านคำ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น



ฎีกายืนคุก50ปีโล้นกามฉาว"ภาวนาพุทโธ"

อีก คดีหนึ่งที่ปิดฉากลงในปี 2552 หลังจากใช้เวลาในการพิจารณาและต่อสู้จนครบทั้ง 3 ศาล นั่นคือคดีกามฉาว เมื่อ 14 ปีก่อน นายจำลอง คนซื่อ หรือ "สมี พุทโธ" อดีตพระภาวนาพุทโธ เจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม

เรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2538 เนื่องจากพระลูกวัดสาม พรานทนต่อพฤติกรรมของสมีเจ้าอาวาสต่อไปไม่ไหวทำเรื่องร้องเรียนไปยังกรมการ ศาสนา กองปราบปราม และ "ข่าวสด"

ทันทีที่รับเรื่องร้องเรียน "ข่าวสด" ส่งทีมข่าวลงพื้นที่เสาะหาข้อมูลทันที พบว่างานนี้มีมูลความจริงหลายอย่าง โดยเฉพาะหลักฐานเด็ดเป็นจดหมายร้องทุกข์ของเหยื่อกาม 6 ราย ที่ส่งให้ตำรวจกองปราบปราม "ข่าวสด" จึงเปิดประเด็นข่าวทันที จนนำไปสู่การทลายฮาเร็มนรก

เหยื่อสาวบรรยายพฤติกรรมของสมีนรกและแม่ เล้าห่มขาว ว่าทุกครั้งที่จะส่งเด็กสาวไปสังเวยกามจะใช้วิธีจับสลาก หากใครถูกแจ๊กพอตจะถูกส่งเข้าห้องเชือด โดยใช้รหัสว่า "ซักจีวร" และทันทีที่ได้ยินรหัสดังกล่าว เด็กสาวต่างพากันหวาดผวาไปตามๆ กัน หากคนไหนไม่ยอมจะถูกแก๊งแม่เล้าห่มขาวจับขึงพืดให้สมีนรกข่มขืนยับ

หลัก ฐานทั้งหมดชัดเจนเพียงพอ จนกระทรวงมหาดไทยออกหมายจับใน 3 ข้อหาฉกรรจ์ คือ กระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี, อนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และข่มขืนหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน ซึ่งหลังถูกออกหมายจับไม่นานสมีพุทโธก็ดอดเข้ามอบตัว เลยถูกจับสึกและให้เจ้าทุกข์รุมชี้ตัวก่อนส่งเข้าเรือนจำ

หลังจาก นั้นเป็นคิวของแม่ชีต้นห้องที่ร่วมก่อกรรม ประกอบด้วย น.ส.สมจิตร รักสีขาว, น.ส.ช่อผกา สกุลวนาการ, น.ส. อนงค์ วงศ์ใจประเสริฐ, น.ส.จินตนา ดาราโรดม, น.ส.สุภาพ นาวรัตน์, นางศรีเพ็ญ มีกลอนเพราะ และน.ส.ขนิษฐา มีกลอนเพราะ

ศาลชั้นต้นใช้เวลานานเกือบ 10 ปี ในการสืบพยานและพิจารณาคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วน

จน มีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ว่าทั้งหมดกระทำผิดจริงตามกรรมต่างวาระ ให้จำคุกนายจำลอง เป็นเวลาทั้งสิ้น 160 ปี แต่กฎหมายระบุให้จำคุกจำเลยได้ไม่เกิน 50 ปี จึงพิพากษาให้จำคุกสมีไว้ 50 ปี เต็มอัตราตามข้อกฎ หมายส่วนบรรดาแม่เล้าห่มขาวทั้งหลายถูกโทษจำคุกลดหลั่นกันไป ตั้งแต่ 4-31 ปี มีเพียงจำเลยที่ 8 คือ น.ส.ขนิษฐา คนเดียวเท่านั้นที่รอดตัว เพราะศาลยกฟ้อง

แก๊งกามนรกยื่นขออุทธรณ์ทันที และมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ให้ยืนตามศาลชั้นต้น ทำให้สมีพุทโธกับน.ส.ช่อผกา สมุนมือขวายื่นขอฎีกาทันที ส่วนพวกที่เหลือ บ้างก็เสียชีวิต บ้างรับโทษจนครบกำหนดไปก่อนหน้านี้ เพราะศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ระหว่างการพิจารณาคดี

ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ท่ามกลางความตะลึงงันของเหล่าสาวกที่ยังคงเลื่อมใส พากันนุ่งห่มขาวมาให้กำลังใจ

ปิดตำนานโล้นฉาวไปอีกบท



อุทธรณ์ประหาร"ส.ว.สุขุม"จ้างฆ่าพ.ญ.จุฬาฯ



คดี อุกอาจอันโด่งดังในปี 2539 เมื่อ 2 มือปืนขี่รถจักรยานยนต์จ่อยิง พ.ญ.นิชรี มะ กรสาร อาจารย์แพทย์ประจำคณะแพทย ศาสตร์จุฬาฯ เสียชีวิตคารถเบนซ์ขณะขับรถออกจากบ้านย่าน อสมท ไปทำงาน

ผู้ต้อง สงสัยในคำสั่งสังหารครั้งนี้ มีอยู่ 2-3 กลุ่ม ล้วนเป็นนักการเมือง ที่รู้จักนายตำรวจ คนในวงการยุติธรรม บางคนเกี่ยวพันกับกลุ่มคนมีสี ทำให้ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อ.ตร. (ขณะนั้น) สั่งการให้จับกุมคนร้ายมาลง โทษให้ได้

เมื่อสืบสาวลึกลงไป ผู้ต้องสงสัยถูกตัดออกทีละคน จนเหลือเพียง นายสุขุม เชิดชื่น ส.ว.กทม. ที่มีเหตุขัดแย้งกับพ.ญ.นิชรี จากการถูกฟ้องร้องเรียกเงินหลายร้อยล้าน มูลเหตุมาจากการที่นายสุขุมและมารดา พ.ญ.นิชรี ร่วมทำธุรกิจกัน แต่ต่อมาถูกตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในธุรกิจหลายอย่าง

เพราะดูเหมือน นายสุขุมจะร่ำรวยเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จึงขอถอนหุ้น แต่ปรากฏว่านายสุขุมนำเอกสารมายืนยันว่า มีการถอนหุ้นออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว

พ.ญ.นิชรี พบความผิดปกติในลายเซ็นของมารดา จึงนำเรื่องขึ้นสู่ศาลเพื่อเรียกเงินทั้ง หมดคืน

นอก จากทีมสืบสวนจะติดตามจนพบสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีหลักฐานที่นายสุขุมพยายามจ้างมือปืนถึง 2 กลุ่ม ให้เป็นผู้ลั่นไก แต่ทั้งหมดไม่ยอมรับงาน เพราะเห็นเป็นหมอ นายสุขุมจึงให้ 2 ลูกน้องคนสนิท นายชัชพัฒน์ หรือเซ็ง กิตติธนากร และนายวิเชียร หรือม่อน กิตติธนากร ติดต่อหามือปืนใหม่ จนได้นายธนศักดิ์ หรือใหม่ ยิ้มดี เป็นมือปืน และนายสราวุธ หรือตั๊ก ไชยสิงห์ เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ และเป็นทีมสังหารที่ลงมือจนสำเร็จตามความประสงค์ของนายสุขุม

ขณะที่ ชุดสืบสวนคืบเข้าใกล้มือปืนและตัวนายสุขุมเข้าไปทุกที นายชัชพัฒน์ ผู้ติดต่อมือปืน ได้วิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากนายพลสีกากีคนหนึ่ง และผู้ใหญ่ในวงการยุติ ธรรม โดยอ้างว่าถูกตำรวจเพ่งเล็งและกลัวจะถูกอุ้ม

แต่ ในที่สุดด้วยพยานหลักฐานต่างๆ ที่ตำรวจมี ทำให้กลุ่มมือปืนไม่อาจรอดพ้นจากบ่วงกรรมที่ก่อไว้ ทั้ง 4 คนถูกรวบตัวไว้ได้หมดในวันที่ 7 มกราคม 2540 ทั้งหมดยอมสารภาพจนหมดไส้ หมดพุง ซัดทอดนายสุขุมเป็นตัวการใหญ่

รวมถึงได้มือปืนอีก 2 กลุ่มที่ถูกว่าจ้างก่อนหน้านั้น แต่ไม่กล้ารับงาน และทีมสังหารทั้ง 4 คน ยอมเป็นพยานให้อัยการ ตำรวจจึงออกหมายจับนายสุขุม แต่สมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ไม่ยอม อ้างว่ายังอยู่ในสมัยประชุม

จน กระทั่งวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน นายสุขุมเข้ามอบตัว หลังหมดสมัยประชุม พร้อมให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีเรื่อยมา โดยอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง

แต่ทว่าพยานหลักฐานทั้งหมดที่มี ทำให้ตำรวจและอัย การมีความมั่นใจ จึงเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลฟ้องนายธนาศักดิ์ มือปืน นายสราวุฒิ ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ นายชัชพัฒน์ นายวิเชียร ผู้จัดหามือปืน และนายสุขุม เป็นจำเลยที่ 1-5

หลังจากใช้เวลาในการทำสำนวนและพิจารณาคดีอยู่นานจน นายชัชพัฒน์ จำเลยที่ 3 เสียชีวิตไปก่อน ในที่สุดศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ให้ลงโทษ นายธนศักดิ์ นายสราวุฒิ และนายวิเชียร ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน ตัดสินลงโทษประหารชีวิต แต่ทั้งหมดให้การรับสารภาพและให้ความรู้แก่ศาล จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกตลอดชีวิต

ส่วนนายสุขุมมีความผิดฐาน จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว หลังฟังคำพิพากษา ผู้ต้องหาทั้งหมดยื่นอุทธรณ์ โดยกลุ่มมือสังหารกลับคำว่าถูกตำรวจซ้อมจนต้องยอมสารภาพ

ศาลอุทธรณ์ ต้องใช้เวลาในการสืบพยานและพิจารณาคดีอีกเป็นเวลาเกือบ 5 ปี และมีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2552 ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น


หน้า 2
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น