MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

[netizen] ต้านข้อเสนอดักข้อมูลบนเน็ต หวั่นละเมิดสิทธิส่วนบุคคล



 
จาก: Thai Netizen Network <freethainetizen@gmail.com>
วันที่: มกราคม 21, 2010 2:21 ก่อนเที่ยง
หัวเรื่อง: [netizen] ต้านข้อเสนอดักข้อมูลบนเน็ต หวั่นละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ถึง: thainetizen@googlegroups.com


ต้านข้อเสนอดักข้อมูลบนเน็ต หวั่นละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

Wed, 2010-01-20 17:47

จาก กรณี "คณะทำงานกำกับดูแลและเฝ้าระวังการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต" ภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพิ่มหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการต้องติดตั้งอุปกรณ์ดักจับ ข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ Sniffer ไว้ที่เกตเวย์ วานนี้ (19 ม.ค.)(ข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ)

จิตร์ทัศน์ ฝักเจริญผล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความเห็นว่า การติด Sniffer ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะหากมีการดาวน์โหลด จะแยกไม่ออกว่า กำลังดาวน์โหลดโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ หรือถ้ามีการเข้ารหัสไว้ก่อน ก็ยากที่ระบบจะสามารถตรวจสอบได้ ทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะสิ่งที่จะเห็นคือข้อมูล text โดยยกตัวอย่างว่า ขณะที่การเก็บข้อมูล log files จะเห็นว่า ใครส่งอีเมลติดต่อกับใคร แต่ถ้าใช้ Sniffer จะเห็นข้อความที่คุยกัน

โปรดอ่านต่อใน

http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27398

--
We stand for cyber-liberty!

--
Thai Netizen Network
http://thainetizen.org/

----
u rcvd diz msg bcoz u r sbscbd 2 d "Thai Netizen Network" grp.
post, email thainetizen@googlegroups.com
leave, email thainetizen+unsubscribe@googlegroups.com
info, http://groups.google.com/group/thainetizen



--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

จ่าเฉยไม่ผิดเรารักจ่าเฉย จ่าเฉยน่ารัก จ่าเฉยสู้ ๆ แหม...ถึงหลอกใครไม่ได้แล้ว เอามาใช้ติดป้ายรณรงค์วินัยจราจรก็ได้

ปีวัวดุ หรือ น้องโคใจร้าย ที่ผ่านมามีข่าวนับหมื่นนับแสนเกิดขึ้นในแต่ละวัน เหตุการ์ต่าง ๆ อุบัติขึ้นทั่วประเทศไทยแดนขวานทองที่ร้อนระอุจากสถานการณ์การเมือง มีทั้งเรื่อง ดี-สุข-เศร้า-เหงา-เคล้าน้ำตา แต่มีข่าวอยู่ประเภทหนึ่งที่คนอ่านทราบเรื่องจะต้องร้อง โอ้โหเฮะ-ฮ่าฮ่าฮ่า-อะไรกันฟระ-แหม ทำไปได้ ฯลฯ

สารพัดคำอุทานที่พรั่งพรูออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ (ว่าไปนั่น) ข่าวที่ว่าก็คือข่าวที่ไม่น่าเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่อึ้ง ทึ่ง เสียวกันไป พร้อมกับคำว่า "แบบนี้ก็มีด้วยหรือเนี่ย" ทีมข่าวหน้าหนึ่งสีบานเย็น คัดแล้วคัดอีกจนได้แบบหัวกระทิข้นคลั่กมา 8 ข่าว

อันดับ 1 แปรงสีฟันหลุดลงท้อง

หลังจากถกกันหน้าดำคร่ำเครียด ย้ายสถานที่ประชุมไปแล้วนับสิบแห่ง กี่ครั้งกี่หน ทีมงานก็ฟันธง ว่านี่แหละที่สุดของข่าวเป็นไปได้ไงเนี่ยประจำปี 2552 เช้าตรู่ของวันที่ 17 ก.พ. ผู้สื่อข่าว จ.อุทัยธานี ทราบว่า ที่โรงพยาบาลอุทัยธานี มีผู้ป่วยแปรงสีฟันหลุดลงกระเพาะ อาหารมารับการรักษาให้หมอผ่าตัดเอาออก และแพทย์ผ่าตัดออกได้สำเร็จอย่างปลอดภัย เมื่อไปถึงพบว่าผู้ป่วยคือ นางมัดหมี่ จะงะ อายุ 22 ปี สาวชาวเขา แต่อยู่กินกับสามีชาวบ้านปากดง ต.หลุมเข้า อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี นอนอิดโรยอยู่บนเตียงคนไข้ ข้าง ๆ มีสามีอุ้มลูกเฝ้าอย่างเป็นห่วง

นางมัดหมี่ เผยเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้ฟังว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ขณะนั้นตนไปทำงานเป็นแม่บ้านให้ครอบครัวเศรษฐีที่ จ.เชียงใหม่ หลังรับประทานอาหารกลางวัน ก็ไปแปรงฟันระหว่างกำลังแปรงฟันอยู่ดี ๆ ดันทำกล่องสบู่ที่วางไว้ตกพื้น จึงก้มลงไปเก็บ (กรุณานึกภาพตามแบบสโล   โมชั่นจะได้อรรถรสเพิ่มขึ้น) โดยปากยังอมแปรงสีฟันขนาดประมาณ 7 นิ้วในแนวตั้ง เกิดพลาดท่าไปกระแทกกับโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่ในห้องน้ำอย่างแรงแบบไม่ทันตั้ง ตัว ทำให้แปรงสีฟันเจ้ากรรมหลุดพรวดเข้าไปในช่องปาก ผลุบหายลงไปในหลอดคอ ตนพยายามล้วงออกมา มันก็ลื่นไหลลงไปจนถึงในกระเพาะอาหาร เมื่อไปให้หมอเอกซเรย์ก็พบแปรงสีฟันเด่นเป็นสง่าอยู่ในกระเพาะ ต่อมามีอาการปวดท้องขึ้นมาจนทน ไม่ไหว สามีพามารักษาที่ รพ. คุณหมอเชาว์     สุระดม ช่วยผ่าออกมาได้สำเร็จ

ยังมีแถมอีกนิด คือก่อนหน้ารายนี้มีนักศึกษาสาววัย 20 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลง กรณ์ เคยทำแปรงหลุดเข้าคอเช่นกัน แพทย์ต้องวาง  ยาสลบแล้วคีบเอาแปรงออกมาได้สำเร็จเช่นกัน  เฮ้อ......

อันดับ 2 เหงื่อออกเป็นเลือด ทั้งโลกมีไม่กี่สิบคน

เด็กหญิงที่ร่าเริงแจ่มใส ผู้ต้องประสบชะตากรรมที่หาพบยากในโลก คือ ด.ญ. พันธนันท์ อรุณจันทร์ภักดี หรือน้องแสตมป์ อายุ 11 ขวบ บุตรของ พ.ต.อ.จีรัฐติกุล อรุณจันทร์ภักดี ผกก.สภ.หนองหิน จ.เลย พักอยู่ในชุมชนบ้านรุ่งพัฒนา เขตเทศบาลเมืองสกล นคร น้องแสตมป์ป่วยเป็นโรค ประหลาด เริ่มจากการปวดศีรษะ แล้วจะมีเลือดไหลออกทาง ปาก ตา มาเรื่อย ๆ หากทนไม่ไหวก็จะหมดสติไป ซึ่งทางบิดาก็เพียรพยายามพาไปรักษามาหลายโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 ปี แต่แพทย์ก็บอกไม่ได้ว่าเกิดเพราะอะไร โดยเริ่มเป็นข่าวครึกโครมตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.
   
ทางแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยหลัง ตรวจร่างกายว่า น้องแสตมป์ป่วยเป็นโรคเหงื่อ   ออกเป็นเลือด ตามรายงานทางการแพทย์ถือเป็นรายที่ 67 ของโลก และเป็นรายที่ 2 ของไทย สามารถรักษาให้หายได้ คาดสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด เป็นที่น่ายินดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ในความดูแลของ รพ.ศิริราช น้องแสตมป์ไม่มีอาการเลือดออกอีก หมอจึงอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน...หายเร็ว ๆ นะจ๊ะ น้องแสตมป์.

อันดับ 3 ทารกผัดกะเพราะ

เมนูที่เชลล์ไม่อยากชิม อาจารย์ยิ่งศักดิ์เบือนหน้าหนี แม่ช้อยขอลาก่อน เป็นข่าวขึ้นเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ขณะที่นายปิยะพงษ์ งามสนอง เจ้าหน้าที่กู้ชีพบัวเพชร จ.ปทุมธานี  ไปจอดรถหลบแดดอยู่ใต้สะพานกลับรถถนนพหลโยธิน อ.ธัญบุรี ระหว่างนั้นเห็นนางชนี กระจ่างจิตร คนเก็บของเก่าที่อาศัยอยู่ใต้สะพาน กำลังเตรียมทำผัดกะเพรา จึงไป ยืนดูใกล้ ๆ แต่เมื่อมองไปที่เนื้อสับก็เห็นนิ้วมือเด็กโผล่ออกมา จึงรีบเบรกเมนูเด็ดไว้ก่อน พร้อมแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ

ด้านนางชนี กล่าวแบบซื่อ ๆ ว่า ขณะตระเวนเก็บขยะช่วงค่ำวันที่ 24 มี.ค. เมื่อมาถึงถังขยะหน้าหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี พบเนื้อสับห่อถุงพลาสติก เข้าใจว่าเป็นเนื้อไก่ที่เจ้าของเก่าเผลอทิ้งเพราะยังสดไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า จึงนำมาคลุกเคล้าซอส กระเทียมพริกไทย เตรียมผัดกะเพราแล้วเก็บไว้ จนมื้อกลางวันก็เตรียมประกอบอาหาร ส่วนที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อทารก เพราะบริเวณที่ตนอยู่ไม่มีไฟฟ้าใช้จึงมองไม่เห็น ต่อมาตำรวจจับสาววัย 20 ปี ที่นอนซมตกเลือดอยู่ในหอพักบริเวณนั้นไว้ได้ สารภาพว่าเป็นทารกในครรภ์วัย 5 เดือนของตนที่กินยาขับออกมาแล้วสับจนละเอียดใส่ถุงมาทิ้ง ไม่คิดว่าจะมีคนมาเก็บไป.  (ขอยาดมหน่อยดิ...ผู้อ่าน)

อันดับ 4 ปฏิบัติธรรมพิสดาร


ค่ายปฏิบัติธรรมที่ไอเดียสุดพิสดารไม่ซ้ำแบบใคร   กระฉ่อนขึ้นเมื่อวันที่ 29 พ.ค. เมื่อผู้ปกครองของ น.ส.สวย (นามสมมุติ) นร.ชั้น ม.4 โรงเรียนบางมูลนากภูมิพิทยาคม จ.พิจิตร ออกมาโวยว่าลูกสาวซึ่งไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมของโรงเรียนใน สำนักสงฆ์บ้าน สะพานยาว ถูกสำนักสงฆ์ให้นั่งสมาธิในกรงงูเหลือม เลยโดนงูเหลือมรัดคอจนเส้นโลหิตฝอยในดวงตาแตก แถมยังแทบสติ แตกกับความหวาดกลัวที่ได้รับ ส่วนด้านสำนักสงฆ์ชี้แจงว่าเป็นกุศโลบายในการเข้าถึงธรรมสำหรับงูก็เป็นงู ปลอม นอกจากนี้ยังมีโลงศพปลอมไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทดสอบจิตใจ ในที่สุดทางพ่อเมืองพิจิตร สั่งให้ปิดสำนักสงฆ์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ก็พบมีการเลี้ยงจระเข้ยาวกว่า 1 เมตร อีกตะหาก ส่วนงูเหลือมหาไม่พบ จากนั้นดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สาธุ........

อันดับ 5 ตระกูลประหลาดนอนเฝ้าโลงศพนาน 70 ปี

ภารกิจสำคัญประจำตระกูลที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวทราบว่าที่บ้านเลขที่ 49 หมู่ 1    ต.อมฤต อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เขาเก็บโครงกระดูกญาติผู้ใหญ่ไว้ในโลงนานเกือบร้อยปี ทุกวันต้องมีลูกหลานนอนเฝ้า เมื่อไปตรวจสอบทราบว่า โครงกระดูกในโลงคือ นายพวงทอง ลิดกะโห้  ที่เสียชีวิตไปนานกว่า 70 ปีแล้ว สอบถามผู้ที่เฝ้าโลงคือนายสำเริง ยิ่งยง มีศักดิ์เป็นเหลนของผู้ตาย เล่าว่าตาทวดเสียชีวิตด้วยสาเหตุตกบันไดจนบอบช้ำนอนรักษาตัวเป็นปีกว่าจะ เสียชีวิต ด้วยความที่รักบ้านหลังนี้จึงขอไม่ให้เผาร่างให้เอาศพไว้ที่บ้าน คนในตระกูลก็จัดคนเฝ้าศพกันเรื่อยมาตามความต้องการของตาทวด จนมาถึงรุ่นตน ซึ่งเฝ้ามากว่า 20 ปีแล้ว และจะทำแบบนี้ตลอดไป อืม...จะว่าไป ก็ซึ้งนะเนี่ย...

อันดับ 6 พี่น้องเกิด-ตาย วันเดียวกัน


ข่าวเหลือเชื่อปนเศร้าข่าวนี้ นำเสนอเมื่อ วันที่ 23 พ.ค. ผู้สื่อข่าวเมืองเกินร้อย (ร้อยเอ็ด) รับทราบว่ามี ครอบครัวที่ประสบชะตากรรมประหลาดเป็นชาวอำเภออาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดย 3 พี่น้องเกิดวันเดียวกัน 2 ใน 3 เสียชีวิตวันเดียวกัน แต่คนละปี แถมน้องชายคนที่ 2 แม้ไม่ได้เกิดวันเดียวกันแต่เสียชีวิตวันเดียวกันแบบเหลือเชื่อ  
   
ด้าน นางหนูพลอย บุตรรัตน์ วัย 75 ปี คุณแม่ผู้สูญเสียลูกเปิดเผยว่ามีบุตร 8 คน เป็นหญิง 4 ชาย 4  มีลูกชาย 3 ใน 4 คน ที่เสียชีวิตเกิดวันและเดือนเดียวกัน แต่คนละปี ประกอบด้วย จ.ส.ต. วิมาน บุตรรัตน์ เกิด 1 ม.ค. 2498 เสียชีวิต 19 พ.ค. 2535 นายประพันธุ์ศักดิ์ บุตรรัตน์ เกิด 1 ม.ค. 2514 คนนี้ยังอยู่นะครับ นายจักรพงษ์ บุตรรัตน์ เกิด 1 ม.ค. 2516 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2552 และ นายโอภาส บุตรรัตน์ คนนี้ไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่เกิดวันที่ 17 ก.พ. 2500 แต่กลับเสียชีวิตวันที่ 19 พ.ค. 2540 ที่เหลืออีก 4 คนก็อยู่อย่างระทึกใจ เมื่อครบรอบวันที่ 19 พ.ค. ของแต่ละปี ท่านผู้อ่านงงไหมล่ะครับว่านี่คือเรื่องจริง.

อันดับ 7 ถุงยางมัดผัก

เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาเมื่อ 22 มิ.ย.  คือ นายสุดใจ พรมเลิศ หนุ่มชาวหาดใหญ่ จ.สงขลา ไปเดินจับจ่ายในตลาดสดพลาซ่า อ.หาดใหญ่ ในที่สุดก็คว้า “ผักจิก” (ผักพื้นบ้านปักษ์ใต้) มา 1 กำ เมื่อได้มาก็ลิ่วกลับบ้านเพราะตั้งใจจะนำไปหม่ำแกล้มขนมจีนให้อร่อยลิ้น แต่ตอนแกะมาล้างก็เป็นงงเมื่อเห็นยางที่ใช้รัดผักมันไม่ใช่หนังยางทั่วไปแต่ มันคือ “ถุงยางอนามัย” จริงแท้แน่นอน แถม มีเศษถุงยางติดมาด้วยไม่ใช่น้อย ทำเอาขนมจีนมื้อนั้นกร่อย ไปถนัดใจ

เมื่อผู้สื่อข่าวตามไปตรวจสอบก็พบตัวแม่ค้าเจ้าของไอเดียสุดกิ๊บเก๋ เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นถุงยางจริง แต่ให้เหตุผลว่าเป็นถุงยางที่ไม่ได้ใช้ สาเหตุที่เป็นถุงยางเพราะมีลูกสะใภ้ทำงานในโรงงานผลิตถุงยาง แล้วนำถุงยางที่ชำรุดกลับมาให้ ตนเห็นว่ายังไม่ได้ใช้และน่าจะทนทานกว่าหนังยางทั่วไปจึงนำมามัดผักขาย เรื่องก็เป็นประการฉะนี้นั่นเอง เอื้อก...เป็นลมดีก่า....

อันดับ 8 เด้งจ่าเฉยเข้ากรุ ลง จว.ชายแดนใต้

ข่าวนี้เกิดขึ้นสด ๆร้อน ๆ ด้วยความฮอตของตัวข่าว มันถึงเข้าอันดับมาได้อย่าง ชิว ชิว เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. คนใหม่ไฟแรงสูง ท่านแถลงข่าวจัดการจราจรรับมือเทศกาลปีใหม่ รวมไปถึงมาตรการไขลานลูกน้องตำรวจจราจรหรือทีมงานหัวปิงปอง (เขาเรียกกันแบบนี้จริง ๆ นะ) อาทิ ลอกฟิล์มดำที่ติดตามป้อมจราจรออกทั้งหมด ให้มองเห็นภายในได้ชัดแจ๋วกันลูกน้องหลบอู้งานหรือแอบงีบ และสั่งเก็บหุ่นจ่าเฉยที่ยืนยิ้มตามสี่แยกต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ เข้ากรุ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีประโยชน์ มุกแป้กหลอกคนขับรถไม่ได้แล้ว พอสื่อฯ แพร่ข่าวออกไป ประชาชนต่างเห็นอกเห็นใจจ่าเฉยกันแบบถล่มทลาย เพราะจ่าเฉยเป็นตำรวจที่ไม่เคยแจกใบสั่ง แจกแต่รอยยิ้มจัดเป็นตำรวจในฝันของผู้ใช้รถใช้ถนน (ว่าไปนั่น) แถมทำงานไม่เคยอู้ไม่เคยหลบไปนั่งในป้อม ตากแดด ตากฝน ไม่เคยหวั่น รวมถึงเหล่าตำรวจจราจรตัวจริงก็อาลัยจ่าเฉยกันถ้วนหน้า ล่าสุดมีโรงเรียนที่นราธิวาสและ นครราชสีมา ขอหุ่นจ่าเฉยไปตั้งเพื่อประกอบการศึกษา
   
กรณีนี้นะครับ...ทีมข่าวหน้าหนึ่งสีบานเย็นมองว่า จ่าเฉยไม่ผิดเรารักจ่าเฉย จ่าเฉยน่ารัก จ่าเฉยสู้ ๆ แหม...ถึงหลอกใครไม่ได้แล้ว เอามาใช้ติดป้ายรณรงค์วินัยจราจรก็ได้ ไม่เห็นต้องเด้งเข้ากรุอย่างไร้ค่าแบบนั้นเลยนะครับท่าน.

ทีมข่าวหน้า 1 เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=40410

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศูนย์ข้อมูลชาติ

ศูนย์ข้อมูลชาติ
http://www.thairath.co.th/column/tech/dailyweb/55362

เทรนด์โซเชียลเน็ตเวิร์ค 2010 'เรียลไทม์' มาแรงแซงทุกโค้ง
http://www.thairath.co.th/content/tech/55748

ไมโครซอฟท์ แพ้อุทธรณ์ ละเมิดบริษัทi4i
http://www.thairath.co.th/content/tech/55304

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ระวัง ปีเสือหิว ! 1.56 ล้านล้านบาท / การ์ตูน ชัย ราชวัตร 01/01/53

Pic_56094

การ์ตูน ชัย ราชวัตร 01/01/53



http://www.thairath.co.th/content/region/56131
ระวัง ปีเสือหิว ! 1.56 ล้านล้านบาท

http://www.thairath.co.th/content/pol/56144
ข่าวฮา 2552 ฤทธิ์ ศิษย์ ซูม เรียบเรียง

http://www.thairath.co.th/content/sport/55971
ชำแหละ แวดวงกีฬาไทย 9 เหตุการณ์เด่น-ดับ รอบปี 2009

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

# ห้ามบวชภิกษุณี #

ห้ามบวชภิกษุณี

“มาตรา ๓๗ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนาธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบ ร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

การใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

จากการที่มหาเถรสมาคมได้มีมติรับทราบมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ที่มีมติให้ถอดวัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ทั้งนี้ เนื่องจากคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ ที่มีพระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เป็นเจ้าอาวาส ได้บวชให้แก่ภิกษุณี เมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค.๒๕๕๒ โดยบวชสตรีชาวต่างประเทศ ๔ คน โดยมีภิกษุณีอยยา ทถาโลก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุชาโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ซึ่งเป็นการกระทำเช่นนี้มหาเถรสมาคมถือว่าขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทย เพราะได้มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย อุปสมบทให้แก่สตรี คำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๒๗ และครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๐ ห้ามภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี และพระวรธรรมคติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ห้ามบวชให้แก่สตรีเพื่อเป็นภิกษุณี

กรณีเช่นนี้ ในทางกฎหมายไทยถือได้ว่าวัดดังกล่าวไม่มีต้นสังกัดดูแล และจะส่งผลให้ไม่ได้รับการดูแลจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และมหาเถรสมาคมด้วย อย่างไรก็ตามสถานภาพของวัดจะยังคงอยู่ เพราะได้รับการอนุญาตจากทางประเทศออสเตรเลียแล้ว แต่ประเด็นที่ตามมาจากกรณีนี้ก็นำไปสู่การถกเถียงอีกครั้งหนึ่งว่าการห้าม บวชภิกษุณีของคณะสงฆ์ไทยนั้นถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่

เมื่อเราพิเคราะห์ถึงรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดและพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ไม่พบว่ามีบทบัญญัติ ใดที่ห้ามมิให้มีการบวชภิกษุณีแต่อย่างใด และยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับปฏิญญาสากล ข้อที่ ๑๘ ที่ว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในการนับถือศาสนาแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าสามารถกระทำได้

ฉะนั้น การที่อ้างประเด็นในข้อกฎหมายว่าการบวชภิกษุณีของไทยเรานั้นไม่สามารถทำได้ จึงไม่เป็นการถูกต้อง แต่หากจะอ้างเหตุผลอื่น เช่น อ้างว่าการบวชภิกษุณีต้องบวช ๒ ครั้ง คือ บวชเป็นภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชจากภิกษุสงฆ์อีกครั้ง แต่ภิกษุณีสงฆ์ในฝ่ายเถรวาทได้ขาดช่วงไปแล้ว เมื่อไม่มีภิกษุณีสงฆ์ จึงบวชภิกษุณีไม่ได้ จึงพอรับฟังได้บ้าง

แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วพบว่าอันที่จริงในสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีการแบ่งแยกนิกายเป็นมหายาน หรือเถรวาทแต่อย่างใด กอปรกับในศรีลังกาซึ่งเป็นเถรวาทเหมือนกับเราก็ยังคงมีภิกษุณีอยู่ และมีการบวชภิกษุณีกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และภิกษุณีที่เป็นคนไทยเราหลายท่านก็บวชมาจากศรีลังกานี่เอง

บางท่านอาจจะโต้แย้งว่าภิกษุณีที่ศรีลังกาหมดไปแล้วมิใช่หรือนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.๙๐๐ คณะภิกษุณีสงฆ์ที่ศรีลังกา ได้ไปบวชภิกษุณีที่วัดป่าใต้ เมืองนานกิง เป็นการสืบทอดการบวช ภิกษุณีสงฆ์ จากศรีลังกาไปประเทศจีน และเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๕๐๐ ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ สูญสิ้นไปจากศรีลังกา เพราะการรุกรานของกษัตริย์ฮินดูจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งต่อมาคณะภิกษุณีสงฆ์จาก ศรีลังกา ก็ไปรับการบวชมาจากภิกษุณีสงฆ์จากไต้หวัน ซึ่งเป็นสายจีนที่บวชจากศรีลังกาแต่เดิมมานั่นเอง สายการบวชสายนี้จึงนับว่าเป็นสายเดียวกันโดยปริยาย

เมื่อเราพิจารณาถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนาแล้วจะพบว่าในสมัย พุทธกาลนั้นไม่นิยมในการที่ผู้หญิงจะออกบวช วัฒนธรรมของอินเดียโบราณนั้นผู้หญิงจะหลุดพ้นได้เพียงอย่างเดียวก็คือการ ภักดีต่อสามี เพราะฉะนั้นการที่ผู้หญิงจะขอบวชในสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยทรงปฏิเสธถึงสามครั้ง ในที่สุดพระอานนท์ทูลถามว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรมเช่น เดียวกันหรือไม่ พระองค์ทรงยืนยันว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรม และสามารถบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน สาระข้อนี้เป็นสาระที่สำคัญยิ่งในพุทธศาสนา เพราะไม่มีศาสนาอื่นก่อนหน้านี้ที่กล้าที่จะรับรองความสามารถของหญิงชายทัด เทียมกัน ซึ่งหมายความว่า ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแรกในโลกที่เปิดประตูของการเข้าสู่อิสรภาพทางจิต วิญญาณว่าไม่ได้จำกัด โดยเพศ สีผิว หรือวรรณะ

โดยก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้าทรงยกเลิกวรรณะซึ่งเป็นโครงสร้างทางสังคมที่ สำคัญของวัฒนธรรมอินเดียในศาสนาของพระองค์ไปแล้ว ทรงยกเลิกความแตกต่างทางวรรณะ ทรงยกเลิกความแตกต่างทางเชื้อชาติ สีผิวและเพศ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของพุทธศาสนาที่ทำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของโลก มิใช่เป็นศาสนาที่จำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนชมพูทวีปเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นความงดงามที่ส่งประกายทำให้พุทธศาสนาเจิดจรัสเป็นศาสนาสำคัญ ชองโลกศาสนาหนึ่ง

หลังจากที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเพราะผู้หญิงสามารถบรรลุ ธรรมได้เช่นเดียวกับผู้ชายแล้ว พระองค์ก็ประทานโอวาทว่าพุทธศาสนานี้ต่อไปในอนาคตจะเสื่อมหรือจะเจริญขึ้น อยู่กับการดูแลและการปฏิบัติของพุทธบริษัท ๔ อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทรงรับสั่งด้วยว่าต่อไปพระศาสนาจะเสื่อมเมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพยำเกรงในศีลและสมาธิ พุทธศาสนาที่พระองค์เรียกว่าพระสัจธรรมในต่อไปในอนาคตข้างหน้าจะเสื่อมหาก พุทธบริษัท ๔ ไม่เคารพซึ่งกันและกัน

จากพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงประเด็นในปัจจุบันที่เราถกเถียงกันว่าควรจะมีการห้ามบวช ภิกษุณีหรือไม่นั้น จึงได้รับคำตอบว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะให้มีภิกษุณีเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาต และไว้วางใจให้พุทธบริษัท ๔ ช่วยกันดูแลสืบสานพระพุทธศาสนา หากไร้เสียซึ่งภิกษุณี พุทธบริษัท ๔ ยังคงเป็นเพียงพุทธบริษัท ๓ เช่นในปัจจุบันแล้วไซร้ พุทธศาสนาในประเทศไทยจะไม่เสื่อมลงได้อย่างไร

ฉะนั้น การห้ามสตรีบวชภิกษุณีนอกจากจะขัดต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนาตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการขัดต่อพุทธประสงค์ เพราะเป็นการบัญญัติสิ่งที่นอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อีกด้วย

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์วันพุธที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒
http://www.prachatai.com/journal/2009/12/27186

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

10 สุดยอดการค้นพบ ทางการแพทย์ปี 2009

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4171  ประชาชาติธุรกิจ


10 สุดยอดการค้นพบ ทางการแพทย์ปี 2009


คอลัมน์ Health Trend




ปี 2552 ที่กำลังผ่านพ้นไปเป็นอีกปีที่ทั่วโลกตกอยู่ในความกังวลจากการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 ที่พบว่ามีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายแรกในเม็กซิโกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่าน มา

1 เดือนต่อมาองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็น "โรคระบาดระดับสูงสุด" ที่สามารถแพร่จากคนสู่คนและแพร่ระบาดข้ามประเทศหรือภูมิภาคได้

อย่าง ไรก็ตามในปี 2009 อีกเช่นกันที่วงการแพทย์มีความก้าวหน้าค้นพบวิธีการรักษาโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคเอดส์/เอชไอวี ไข้หวัดใหญ่ 2009 มะเร็งต่อมลูกหมาก และกระดูกพรุน รวมทั้งสามารถหาสาเหตุของโรคร้ายแรงที่เป็นภัยคุกคามชีวิตมนุษย์ อาทิ มะเร็งเต้านม การวิจัยสเต็มเซลล์ การคิดค้นวิธีป้องกันอาการออทิสติสม์ โรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ และอัลไซเมอร์ เพื่อนำไปพัฒนาหาวิธีการรักษาในขั้นต่อไป

ในเว็บไซต์ของ "ไทม์ แมกาซีน" จึงได้จัดอันดับ 10 สุดยอดการค้นพบทางการแพทย์ประจำปี 2009 เพื่อย้ำเตือนว่า แม้โรคภัยไข้เจ็บสมัยใหม่จะพัฒนาตัวมากขึ้น แต่การศึกษาวิจัยทางการแพทย์ก็ยังมีความพยายามจะแก้ปัญหาและค้นหาทางออกให้ จนได้

10 สุดยอดการค้นพบทางการแพทย์ที่ไทม์ แมกาซีน นำมารวบรวมไว้ มีดังต่อไปนี้

1) คำแนะนำให้ตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการเอกซเรย์หรือแมมโมแกรม

คณะ ทำงานเฉพาะกิจด้านการป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา เพิ่งมีแนวนโยบายใหม่สำหรับการตรวจหามะเร็งเต้านมออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยระบุว่า ให้ผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการเอกซเรย์หรือแมมโมแกรมเป็นประจำ 2 ปีหน นับเป็นคำแนะนำที่ต่างไปจากเดิมที่ระบุให้ ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำปีละ 1 หน

อีกทั้งยังมีคำแนะนำว่า ให้เลิกตรวจคลำหามะเร็งเต้านมด้วยตนเองด้วย โดยคำแนะนำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐอเมริกา อย่างมากว่า เป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทประกันที่จะสามารถหลีกเลี่ยงการจ่าย เงินค่าตรวจแมมโมแกรมแก่ผู้ซื้อประกันที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี

แต่ใน ที่สุดกฎหมายสาธารณสุขชุดใหม่ของรัฐบาลนายบารัก โอบามา ก็ได้มีการแก้ไขและรับประกันการตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยวิธีการใช้แมมโมแกรม และการตรวจโรคเพื่อหาทางป้องกันสำหรับผู้ซื้อประกันทุกวัย

2) การค้นพบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคเอดส์ชนิดใหม่

ใน เดือนกันยายนหลังจากใช้เงินในการทดสอบและพัฒนาวัคซีนในอาสาสมัคร 16,000 ราย มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ ด้วยการนำวัคซีนเก่า 2 ตัวมาผสมและพัฒนาเป็นวัคซีนป้องกันเอชไอวีตัวใหม่ แม้ผลการทดสอบวัคซีนในคนจะสามารถป้องกันการติดเชื้อโรคเอดส์ได้เพียง 31% จากจำนวนอาสาสมัครที่รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด แต่การค้นพบครั้งนี้ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังของคนทั้งโลก

3) ยกเลิกข้อห้ามใช้เงินรัฐบาลเพื่อการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็ม เซลล์จากตัวอ่อนที่สร้างใหม่

การ ปลดล็อกกฎซึ่งบรรจุไว้ในกฎหมายตั้งแต่สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต นายบารัก โอบามา นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาสเต็มเซลล์เพื่อหาวิธีการรักษาโรค อาทิ อัลไซเมอร์ หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ แม้ว่าประเด็นเรื่องการใช้ตัวอ่อนมาทำสเต็ม เซลล์จะยังต้องถกเถียงในเรื่องศีลธรรมกันต่อไปก็ตาม

4) การค้นพบวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ชนิดเอ เอช1เอ็น1

ขณะ นี้มีหลายประเทศอยู่ในระหว่างทดลองฉีดให้กับอาสาสมัคร เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการป้องกันโรค ในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มฉีดวัคซีนนี้ 1 ล้านชุดให้กับกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ผู้ปกครองของทารกต่ำกว่า 6 เดือน และผู้ที่อยู่ในภาวะของโรคหอบหืดและโรคเบาหวาน

อย่างไรก็ตามจากผล สำรวจล่าสุดในสหรัฐยังพบด้วยว่า มีชาวอเมริกันกว่า 55% ที่ปฏิเสธจะรับการฉีดวัคซีน เนื่องจากยังกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้วัคซีนดังกล่าว

5) พบ "ไอพีเอส เซลล์" ใช้แทนสเต็มเซลล์ได้

การ สร้างเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์จากเซลล์ที่โตเต็มที่แล้วมาเปลี่ยนแปลง โครงสร้างให้เหมือนกับเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนของมนุษย์ที่เรียกว่า "ไอพีเอส เซลล์" หรือ induced Pluripotent Stem Cells โดยการค้นพบอันใหม่นี้เป็นการค้นพบไอพีเอส เซลล์จากเซลล์ผิวหนังของหนู จากห้องทดลองในจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม และมีผลยืนยันว่า ไอพีเอส เซลล์สามารถใช้แทนสเต็ม เซลล์จากตัวอ่อน เพื่อรักษาอาการของโรคบางชนิดได้จริง

6) การเจาะเลือดหามะเร็งไม่ได้ช่วยค้นพบโรคได้เร็วขึ้น

การ ค้นพบว่าการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยวิธีที่เรียกว่า "พีเอสเอ" หรือ Prostate-Specific Antigen ซึ่งเป็นการตรวจหามะเร็งจากการเจาะเลือดอาจไม่ได้บ่งชี้ถึงการหาทางรักษาโรค ได้เร็วขึ้นอีกต่อไป

เมื่อสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ศึกษาในอาสาสมัครชาย 76,000 ราย แล้วแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยพีเอสเอกับอีกครึ่งหนึ่งไม่ ได้ตรวจด้วยพีเอสพี เมื่อเวลาผ่านไป 7 ปีกลับพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากและเคยผ่านการตรวจด้วยพีเอส เอแล้ว 50 ราย ขณะที่ผู้ที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมลูกหมากอีก 44 ราย เป็นผู้ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจด้วยพีเอสเอมาก่อน

7) ค้นพบต้นเหตุทำให้เป็นออทิสติสม์

การ ศึกษาพบว่าโครโมโซมลำดับที่ 5 ที่บ่งชี้ว่ามีส่วนสำคัญถึง 15% ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการออทิสติสม์ในเด็กอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีเด็ก 1 ใน 100 คน มีอาการออทิสติสม์และยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร แต่การค้นพบว่าโครโมโซมลำดับที่ 5 มีผลทำให้เกิดอาการออทิสติสม์ครั้งนี้เป็นการค้นพบที่สำคัญสำหรับการหาวิธี ป้องกันโรคได้

8) พบยาใหม่รักษาโรคกระดูกพรุน

ยารักษาโรค กระดูกพรุนตัวใหม่จะทำหน้าที่ไปสกัดกั้นการทำลายเซลล์กระดูกในร่างกาย แต่ขณะนี้ตัวยาดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐ หรือเอฟดีเอ แต่มีการคาดการณ์ว่า หากยาดังกล่าวสามารถวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่ายารักษาโรคกระดูกพรุนที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน เช่น โฟซาแม็กซ์ โบนิวา และรีคลาสท์

9) พบยีนทำให้เป็นอัลไซเมอร์

มี การค้นพบยีน 3 ตัวที่คาดว่ามีผลทำให้เซลล์ประสาททำงานไม่เป็นปกติ และทำให้เกิดความปรวนแปรในระบบความจำ เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ โดยการค้นพบนี้ทำให้แพทย์มีความหวังว่าจะสามารถต่อยอดและพัฒนาวิธีการรักษา อัลไซเมอร์ต่อไปในอนาคต

10) Brown Fat ทำให้เกิดโรคอ้วนในผู้ใหญ่

การ ค้นพบว่าไขมันสีน้ำตาล หรือ Brown Fat ซึ่งปกติจะทำหน้าที่สลายพลังงานแทนการสะสมพลังงานนั้น อาจทำให้เกิดโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ได้ แต่ในปัจจุบันคนที่มีอายุมากขึ้น การทำงานของไขมันสีน้ำตาลกลับทำได้ลดลง และไปสะสมอยู่ที่ลำคอมากขึ้น ซึ่งมีผลให้คนที่เคยรูปร่างผอมบางอาจมีคอโตกว่าคนที่อ้วนกลมกว่า โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น จะพบว่ามีเซลล์ไขมันสีน้ำตาลมากกว่าคนในพื้นที่อื่นมาก


หน้า 33
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02spo04311252&sectionid=0219&day=2009-12-31

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

บทเรียนมาบตาพุด การพัฒนาอุตสาหกรรมบนสิทธิชุมชน

 

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4171  ประชาชาติธุรกิจ


บทเรียนมาบตาพุด การพัฒนาอุตสาหกรรมบนสิทธิชุมชน





ตลอด ปี 2552 ประเด็นปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เป็นกระแสสร้างความวิตกกังวลให้กับภาครัฐและ เอกชนมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของมาบตาพุด หลังจากที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ "ระงับ" การดำเนินการ 76 โครงการที่มีมูลค่ารวมกว่า 400,000 ล้านบาท

ทว่าปัญหาของมาบตาพุด ไม่ได้เพิ่งเกิดมาเมื่อ 1-2 ปีนี้ แต่เป็นปัญหาที่ถูกสะสมกันมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในปี 2531 พื้นที่แนวกันชน ที่เคยถูกกำหนดไว้ในผังเมือง โรงงาน และบ้านพักอาศัยชุมชน ต้องห่างกันไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตร แต่กลับมีการรุกล้ำพื้นที่ของทั้งฝ่ายเอกชนและชาวบ้าน จนปัจจุบันทำให้พื้นที่โรงงานและบ้านพักอาศัยชาวบ้านอยู่ติดกันแค่รั้วกั้น

ความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจึงเกิดขึ้นกับชาวบ้านทั้งสุขภาพอนามัยและอาชีพประมง ขณะที่โรงงานเอกชนมักตกเป็นจำเลย เป็นต้นเหตุของปัญหา แต่ก็ไม่เคยมีการ "ยอมรับ" แต่ตั้งท่าปฏิเสธกันมาโดยตลอด

กลุ่มชาวบ้านชุมชนในพื้นที่ มองเห็นว่า ในพื้นที่มาบตาพุดมีทั้งขยายกำลังการผลิตการก่อสร้างโรงงานใหม่ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนโรงงานอยู่ไม่ต่ำกว่า 300 โรง ซึ่งไม่เพียงแต่เนื้อที่เท่านั้น แต่ศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับ การปล่อยมลพิษ (Carrying Capacity) ก็แทบจะเต็ม ไม่สามารถรองรับการขยายกำลังผลิตของโรงงานต่อไปได้อีก

ชาวบ้านจึง ไม่อยากให้มีการอนุมัติก่อสร้างโรงงานในพื้นที่อีก พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้มีการจัดสรรงบประมาณ ให้อำนาจท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการแผนควบคุมมลพิษในพื้นที่อย่างเข้ม งวด

การเรียกร้องดังกล่าวชัดเจนมากขึ้น ในปี 2549 ในช่วงเวลาที่ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีการมองว่า พื้นที่มาบตาพุดถือเป็นหัวใจการลงทุนของประเทศไทย ดังนั้นการประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงอาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นการลงทุนของประเทศได้ ผลจึงออกมาในรูปของแผนปฏิบัติการจัดการมลพิษที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณร่วมกับ การลงขันเอกชนในการ ลดการปล่อยมลพิษในพื้นที่ โดยใช้หลักเกณฑ์ 80 : 20

กล่าว คือ หากโครงการใดที่มีความประสงค์ก่อสร้างโครงการใหม่หรือขยายโครงการจะต้องมี แผนลดการปล่อยมลพิษของโครงการเดิมลงให้ได้ 20% โดยปริมาณมลพิษที่ลดได้นั้น 80% ให้นำไปขยายโครงการ ส่วนอีก 20% จะต้องคืนให้กับทางการ

ยก ตัวอย่างเช่น บริษัท B ต้องการขยายการผลิตในพื้นที่จังหวัดระยองก็จะต้องหาจับคู่กับบริษัท A ซึ่งมีโรงงานเดิมตั้งอยู่ หากเดิมบริษัท A ปล่อยมลพิษอยู่ในระดับ 100 ตามมาตรฐาน ก็จะต้องจัดทำแผนการลดมลพิษ 20% ให้เหลือการปล่อยมลพิษอยู่ในระดับ 80 ซึ่งส่วนที่ลดได้ 20 นั้น บริษัท B สามารถนำมาขยายการผลิตได้ โดยกำหนดว่าจะปล่อยมลพิษได้เพียง 16 เท่านั้น ส่วนอีก 4 จะต้องส่งคืนให้กับทางการ เป็นต้น หมายความว่า เมื่อยิ่งขยายการผลิตหรือขยายโรงงานก็ยิ่งจะทำให้ปริมาณมลพิษมากขึ้น

ชาวบ้านเริ่มใช้สิทธิทางกฎหมาย

เมื่อ การเรียกร้องของชาวบ้านไม่เป็นผล ประกอบกับไม่พึงพอใจในแผนปฏิบัติการลดมลพิษดังกล่าว ชาวบ้านในพื้นที่ที่อ้างตนเป็นผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 27 คน ได้รวมตัวกันใช้สิทธิทางกฎหมายยื่นฟ้อง ต่อศาลปกครองระยองให้มีคำสั่งว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนก่อให้เกิดมลพิษ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตของคนในพื้นที่ พร้อมขอให้ประกาศพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ

วันที่ 3 มีนาคม 2552 ศาลปกครองระยองได้พิจารณาเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง จึงได้มีคำสั่งให้พื้นที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้งตำบลเนินพระ ตำบลมาบข่า และตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง เป็น "เขตควบคุมมลพิษ" นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของชาวบ้านในการใช้สิทธิตามกรอบกฎหมาย

ท่าม กลางกระแสทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ยุติลงด้วยมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติให้เดินหน้าประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นเขตควบคุมมลพิษภายใน 60 วัน (จากวันที่ 3 มีนาคม 2552) ตามคำพิพากษาของศาลปกครองระยอง

แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจะยื่น อุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่คณะกรรมการฯถูกศาลปกครองระยองวินิจฉัยว่า "ละเลยการปฏิบัติหน้าที่" โดยชี้แจงว่า ในช่วง ที่ผ่านมาคณะกรรมการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ความสำคัญด้านการแก้ไขปัญหา จัดการมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดมาโดยตลอด ดำเนินการไปตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ได้ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด

NGO รุกหนักเดินเกมต่อสู้ทางกฎหมาย

เมื่อ การใช้สิทธิทางกฎหมายเห็นผล จนชาวบ้านเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะขึ้น กลุ่มองค์การพัฒนาเอกชน (NGO) จึงเห็น ช่องทางในการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเอาผิดหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะเป็นต้นเหตุให้พื้นที่มาบตาพุดเกิดมลพิษ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกที่นำโดยนายสุทธิ อัชฌาศัย 1 ใน 27 คน ที่เคยยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครองระยองได้ร่วมกับ 3 หน่วยงาน คือ ชมรมสิ่งแวดล้อมสภาทนายความ, สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และสมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครอง สิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง กล่าวหา 8 หน่วยงานภาครัฐมีการดำเนินการที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550

โดย 8 หน่วยงานที่ถูกฟ้องร้อง ได้แก่ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

สาเหตุของการฟ้องร้องเนื่องจากช่วง ที่ผ่านมาทั้ง 8 หน่วยงานได้ดำเนินการอนุมัติ/อนุญาตแก่กิจการในพื้นที่จังหวัดระยอง ที่เข้าข่ายมาตรา 67 โดยพิจารณาเห็นชอบแต่รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ละเลยไม่พิจารณาเห็นชอบรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และ การไม่เปิดรับฟังความเห็นจากองค์กรอิสระ ซึ่งไม่เป็นตามกฎหมาย ดังนั้นจึงขอให้ศาลปกครองพิจารณาเพิกถอนคำสั่งอนุมัติ/อนุญาตกับกิจการทั้ง หมดในจังหวัดระยองที่ได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 หลังจากที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด

จนวันที่ 29 กันยายน 2552 ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการ ตามคำฟ้องของโจทก์ สร้างผลกระทบ ในวงกว้าง โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุน นับเป็นชัยชนะครั้งที่สองของกลุ่ม NGO

แต่ หลังจากศาลปกครองกลางมีคำสั่งออกมา ทั้ง 8 หน่วยงานภาครัฐผู้ถูกฟ้องก็ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด จนล่าสุดวันที่ 2 ธันวาคม 2552 ปรากฏศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการ ในพื้นที่มาบตาพุดต่อไป "ยกเว้น" 11 โครงการที่ไม่เข้าข่ายเป็นกิจการรุนแรง ถือเป็นกิจการที่ช่วยลดมลพิษ

ดัง นั้นกรณีมาบตาพุดจึงนับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรม แม้ที่สุดแล้วจะแก้ไขให้ทั้ง 65 โครงการ เดินต่อได้ แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพราะ มาตรา 67 รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ใช่บังคับแค่โครงการในมาบตาพุดเท่านั้น แต่บังคับทั่วประเทศ เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพิงมูลค่าการลงทุนได้ในอนาคต บทเรียน การแก้ไขปัญหามาบตาพุดในครั้งนี้ ส่งผลให้รัฐบาลตระหนักและจะต้องนำไปกำหนดเป็นแผนพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศใน อนาคตต่อไป


หน้า 3
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv01311252&sectionid=0203&day=2009-12-31

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html