MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ศูนย์ข้อมูลชาติ

ศูนย์ข้อมูลชาติ
http://www.thairath.co.th/column/tech/dailyweb/55362

เทรนด์โซเชียลเน็ตเวิร์ค 2010 'เรียลไทม์' มาแรงแซงทุกโค้ง
http://www.thairath.co.th/content/tech/55748

ไมโครซอฟท์ แพ้อุทธรณ์ ละเมิดบริษัทi4i
http://www.thairath.co.th/content/tech/55304

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ระวัง ปีเสือหิว ! 1.56 ล้านล้านบาท / การ์ตูน ชัย ราชวัตร 01/01/53

Pic_56094

การ์ตูน ชัย ราชวัตร 01/01/53



http://www.thairath.co.th/content/region/56131
ระวัง ปีเสือหิว ! 1.56 ล้านล้านบาท

http://www.thairath.co.th/content/pol/56144
ข่าวฮา 2552 ฤทธิ์ ศิษย์ ซูม เรียบเรียง

http://www.thairath.co.th/content/sport/55971
ชำแหละ แวดวงกีฬาไทย 9 เหตุการณ์เด่น-ดับ รอบปี 2009

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

# ห้ามบวชภิกษุณี #

ห้ามบวชภิกษุณี

“มาตรา ๓๗ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนาธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบ ร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

การใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

จากการที่มหาเถรสมาคมได้มีมติรับทราบมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ที่มีมติให้ถอดวัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ทั้งนี้ เนื่องจากคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ ที่มีพระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เป็นเจ้าอาวาส ได้บวชให้แก่ภิกษุณี เมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค.๒๕๕๒ โดยบวชสตรีชาวต่างประเทศ ๔ คน โดยมีภิกษุณีอยยา ทถาโลก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุชาโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ซึ่งเป็นการกระทำเช่นนี้มหาเถรสมาคมถือว่าขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทย เพราะได้มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย อุปสมบทให้แก่สตรี คำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๒๗ และครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๐ ห้ามภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี และพระวรธรรมคติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ห้ามบวชให้แก่สตรีเพื่อเป็นภิกษุณี

กรณีเช่นนี้ ในทางกฎหมายไทยถือได้ว่าวัดดังกล่าวไม่มีต้นสังกัดดูแล และจะส่งผลให้ไม่ได้รับการดูแลจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และมหาเถรสมาคมด้วย อย่างไรก็ตามสถานภาพของวัดจะยังคงอยู่ เพราะได้รับการอนุญาตจากทางประเทศออสเตรเลียแล้ว แต่ประเด็นที่ตามมาจากกรณีนี้ก็นำไปสู่การถกเถียงอีกครั้งหนึ่งว่าการห้าม บวชภิกษุณีของคณะสงฆ์ไทยนั้นถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่

เมื่อเราพิเคราะห์ถึงรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดและพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ไม่พบว่ามีบทบัญญัติ ใดที่ห้ามมิให้มีการบวชภิกษุณีแต่อย่างใด และยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับปฏิญญาสากล ข้อที่ ๑๘ ที่ว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในการนับถือศาสนาแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าสามารถกระทำได้

ฉะนั้น การที่อ้างประเด็นในข้อกฎหมายว่าการบวชภิกษุณีของไทยเรานั้นไม่สามารถทำได้ จึงไม่เป็นการถูกต้อง แต่หากจะอ้างเหตุผลอื่น เช่น อ้างว่าการบวชภิกษุณีต้องบวช ๒ ครั้ง คือ บวชเป็นภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชจากภิกษุสงฆ์อีกครั้ง แต่ภิกษุณีสงฆ์ในฝ่ายเถรวาทได้ขาดช่วงไปแล้ว เมื่อไม่มีภิกษุณีสงฆ์ จึงบวชภิกษุณีไม่ได้ จึงพอรับฟังได้บ้าง

แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วพบว่าอันที่จริงในสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีการแบ่งแยกนิกายเป็นมหายาน หรือเถรวาทแต่อย่างใด กอปรกับในศรีลังกาซึ่งเป็นเถรวาทเหมือนกับเราก็ยังคงมีภิกษุณีอยู่ และมีการบวชภิกษุณีกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และภิกษุณีที่เป็นคนไทยเราหลายท่านก็บวชมาจากศรีลังกานี่เอง

บางท่านอาจจะโต้แย้งว่าภิกษุณีที่ศรีลังกาหมดไปแล้วมิใช่หรือนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.๙๐๐ คณะภิกษุณีสงฆ์ที่ศรีลังกา ได้ไปบวชภิกษุณีที่วัดป่าใต้ เมืองนานกิง เป็นการสืบทอดการบวช ภิกษุณีสงฆ์ จากศรีลังกาไปประเทศจีน และเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๕๐๐ ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ สูญสิ้นไปจากศรีลังกา เพราะการรุกรานของกษัตริย์ฮินดูจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งต่อมาคณะภิกษุณีสงฆ์จาก ศรีลังกา ก็ไปรับการบวชมาจากภิกษุณีสงฆ์จากไต้หวัน ซึ่งเป็นสายจีนที่บวชจากศรีลังกาแต่เดิมมานั่นเอง สายการบวชสายนี้จึงนับว่าเป็นสายเดียวกันโดยปริยาย

เมื่อเราพิจารณาถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนาแล้วจะพบว่าในสมัย พุทธกาลนั้นไม่นิยมในการที่ผู้หญิงจะออกบวช วัฒนธรรมของอินเดียโบราณนั้นผู้หญิงจะหลุดพ้นได้เพียงอย่างเดียวก็คือการ ภักดีต่อสามี เพราะฉะนั้นการที่ผู้หญิงจะขอบวชในสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยทรงปฏิเสธถึงสามครั้ง ในที่สุดพระอานนท์ทูลถามว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรมเช่น เดียวกันหรือไม่ พระองค์ทรงยืนยันว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรม และสามารถบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน สาระข้อนี้เป็นสาระที่สำคัญยิ่งในพุทธศาสนา เพราะไม่มีศาสนาอื่นก่อนหน้านี้ที่กล้าที่จะรับรองความสามารถของหญิงชายทัด เทียมกัน ซึ่งหมายความว่า ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแรกในโลกที่เปิดประตูของการเข้าสู่อิสรภาพทางจิต วิญญาณว่าไม่ได้จำกัด โดยเพศ สีผิว หรือวรรณะ

โดยก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้าทรงยกเลิกวรรณะซึ่งเป็นโครงสร้างทางสังคมที่ สำคัญของวัฒนธรรมอินเดียในศาสนาของพระองค์ไปแล้ว ทรงยกเลิกความแตกต่างทางวรรณะ ทรงยกเลิกความแตกต่างทางเชื้อชาติ สีผิวและเพศ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของพุทธศาสนาที่ทำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของโลก มิใช่เป็นศาสนาที่จำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนชมพูทวีปเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นความงดงามที่ส่งประกายทำให้พุทธศาสนาเจิดจรัสเป็นศาสนาสำคัญ ชองโลกศาสนาหนึ่ง

หลังจากที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเพราะผู้หญิงสามารถบรรลุ ธรรมได้เช่นเดียวกับผู้ชายแล้ว พระองค์ก็ประทานโอวาทว่าพุทธศาสนานี้ต่อไปในอนาคตจะเสื่อมหรือจะเจริญขึ้น อยู่กับการดูแลและการปฏิบัติของพุทธบริษัท ๔ อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทรงรับสั่งด้วยว่าต่อไปพระศาสนาจะเสื่อมเมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพยำเกรงในศีลและสมาธิ พุทธศาสนาที่พระองค์เรียกว่าพระสัจธรรมในต่อไปในอนาคตข้างหน้าจะเสื่อมหาก พุทธบริษัท ๔ ไม่เคารพซึ่งกันและกัน

จากพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงประเด็นในปัจจุบันที่เราถกเถียงกันว่าควรจะมีการห้ามบวช ภิกษุณีหรือไม่นั้น จึงได้รับคำตอบว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะให้มีภิกษุณีเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาต และไว้วางใจให้พุทธบริษัท ๔ ช่วยกันดูแลสืบสานพระพุทธศาสนา หากไร้เสียซึ่งภิกษุณี พุทธบริษัท ๔ ยังคงเป็นเพียงพุทธบริษัท ๓ เช่นในปัจจุบันแล้วไซร้ พุทธศาสนาในประเทศไทยจะไม่เสื่อมลงได้อย่างไร

ฉะนั้น การห้ามสตรีบวชภิกษุณีนอกจากจะขัดต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนาตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการขัดต่อพุทธประสงค์ เพราะเป็นการบัญญัติสิ่งที่นอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อีกด้วย

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์วันพุธที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒
http://www.prachatai.com/journal/2009/12/27186

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

10 สุดยอดการค้นพบ ทางการแพทย์ปี 2009

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4171  ประชาชาติธุรกิจ


10 สุดยอดการค้นพบ ทางการแพทย์ปี 2009


คอลัมน์ Health Trend




ปี 2552 ที่กำลังผ่านพ้นไปเป็นอีกปีที่ทั่วโลกตกอยู่ในความกังวลจากการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 ที่พบว่ามีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายแรกในเม็กซิโกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่าน มา

1 เดือนต่อมาองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็น "โรคระบาดระดับสูงสุด" ที่สามารถแพร่จากคนสู่คนและแพร่ระบาดข้ามประเทศหรือภูมิภาคได้

อย่าง ไรก็ตามในปี 2009 อีกเช่นกันที่วงการแพทย์มีความก้าวหน้าค้นพบวิธีการรักษาโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคเอดส์/เอชไอวี ไข้หวัดใหญ่ 2009 มะเร็งต่อมลูกหมาก และกระดูกพรุน รวมทั้งสามารถหาสาเหตุของโรคร้ายแรงที่เป็นภัยคุกคามชีวิตมนุษย์ อาทิ มะเร็งเต้านม การวิจัยสเต็มเซลล์ การคิดค้นวิธีป้องกันอาการออทิสติสม์ โรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ และอัลไซเมอร์ เพื่อนำไปพัฒนาหาวิธีการรักษาในขั้นต่อไป

ในเว็บไซต์ของ "ไทม์ แมกาซีน" จึงได้จัดอันดับ 10 สุดยอดการค้นพบทางการแพทย์ประจำปี 2009 เพื่อย้ำเตือนว่า แม้โรคภัยไข้เจ็บสมัยใหม่จะพัฒนาตัวมากขึ้น แต่การศึกษาวิจัยทางการแพทย์ก็ยังมีความพยายามจะแก้ปัญหาและค้นหาทางออกให้ จนได้

10 สุดยอดการค้นพบทางการแพทย์ที่ไทม์ แมกาซีน นำมารวบรวมไว้ มีดังต่อไปนี้

1) คำแนะนำให้ตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการเอกซเรย์หรือแมมโมแกรม

คณะ ทำงานเฉพาะกิจด้านการป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา เพิ่งมีแนวนโยบายใหม่สำหรับการตรวจหามะเร็งเต้านมออกมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยระบุว่า ให้ผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการเอกซเรย์หรือแมมโมแกรมเป็นประจำ 2 ปีหน นับเป็นคำแนะนำที่ต่างไปจากเดิมที่ระบุให้ ผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำปีละ 1 หน

อีกทั้งยังมีคำแนะนำว่า ให้เลิกตรวจคลำหามะเร็งเต้านมด้วยตนเองด้วย โดยคำแนะนำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐอเมริกา อย่างมากว่า เป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทประกันที่จะสามารถหลีกเลี่ยงการจ่าย เงินค่าตรวจแมมโมแกรมแก่ผู้ซื้อประกันที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี

แต่ใน ที่สุดกฎหมายสาธารณสุขชุดใหม่ของรัฐบาลนายบารัก โอบามา ก็ได้มีการแก้ไขและรับประกันการตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยวิธีการใช้แมมโมแกรม และการตรวจโรคเพื่อหาทางป้องกันสำหรับผู้ซื้อประกันทุกวัย

2) การค้นพบวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคเอดส์ชนิดใหม่

ใน เดือนกันยายนหลังจากใช้เงินในการทดสอบและพัฒนาวัคซีนในอาสาสมัคร 16,000 ราย มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ ด้วยการนำวัคซีนเก่า 2 ตัวมาผสมและพัฒนาเป็นวัคซีนป้องกันเอชไอวีตัวใหม่ แม้ผลการทดสอบวัคซีนในคนจะสามารถป้องกันการติดเชื้อโรคเอดส์ได้เพียง 31% จากจำนวนอาสาสมัครที่รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด แต่การค้นพบครั้งนี้ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังของคนทั้งโลก

3) ยกเลิกข้อห้ามใช้เงินรัฐบาลเพื่อการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็ม เซลล์จากตัวอ่อนที่สร้างใหม่

การ ปลดล็อกกฎซึ่งบรรจุไว้ในกฎหมายตั้งแต่สมัยรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต นายบารัก โอบามา นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาสเต็มเซลล์เพื่อหาวิธีการรักษาโรค อาทิ อัลไซเมอร์ หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ แม้ว่าประเด็นเรื่องการใช้ตัวอ่อนมาทำสเต็ม เซลล์จะยังต้องถกเถียงในเรื่องศีลธรรมกันต่อไปก็ตาม

4) การค้นพบวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ชนิดเอ เอช1เอ็น1

ขณะ นี้มีหลายประเทศอยู่ในระหว่างทดลองฉีดให้กับอาสาสมัคร เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการป้องกันโรค ในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มฉีดวัคซีนนี้ 1 ล้านชุดให้กับกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ผู้ปกครองของทารกต่ำกว่า 6 เดือน และผู้ที่อยู่ในภาวะของโรคหอบหืดและโรคเบาหวาน

อย่างไรก็ตามจากผล สำรวจล่าสุดในสหรัฐยังพบด้วยว่า มีชาวอเมริกันกว่า 55% ที่ปฏิเสธจะรับการฉีดวัคซีน เนื่องจากยังกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้วัคซีนดังกล่าว

5) พบ "ไอพีเอส เซลล์" ใช้แทนสเต็มเซลล์ได้

การ สร้างเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์จากเซลล์ที่โตเต็มที่แล้วมาเปลี่ยนแปลง โครงสร้างให้เหมือนกับเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนของมนุษย์ที่เรียกว่า "ไอพีเอส เซลล์" หรือ induced Pluripotent Stem Cells โดยการค้นพบอันใหม่นี้เป็นการค้นพบไอพีเอส เซลล์จากเซลล์ผิวหนังของหนู จากห้องทดลองในจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม และมีผลยืนยันว่า ไอพีเอส เซลล์สามารถใช้แทนสเต็ม เซลล์จากตัวอ่อน เพื่อรักษาอาการของโรคบางชนิดได้จริง

6) การเจาะเลือดหามะเร็งไม่ได้ช่วยค้นพบโรคได้เร็วขึ้น

การ ค้นพบว่าการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยวิธีที่เรียกว่า "พีเอสเอ" หรือ Prostate-Specific Antigen ซึ่งเป็นการตรวจหามะเร็งจากการเจาะเลือดอาจไม่ได้บ่งชี้ถึงการหาทางรักษาโรค ได้เร็วขึ้นอีกต่อไป

เมื่อสถาบันมะเร็งแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ศึกษาในอาสาสมัครชาย 76,000 ราย แล้วแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยพีเอสเอกับอีกครึ่งหนึ่งไม่ ได้ตรวจด้วยพีเอสพี เมื่อเวลาผ่านไป 7 ปีกลับพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากและเคยผ่านการตรวจด้วยพีเอส เอแล้ว 50 ราย ขณะที่ผู้ที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมลูกหมากอีก 44 ราย เป็นผู้ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจด้วยพีเอสเอมาก่อน

7) ค้นพบต้นเหตุทำให้เป็นออทิสติสม์

การ ศึกษาพบว่าโครโมโซมลำดับที่ 5 ที่บ่งชี้ว่ามีส่วนสำคัญถึง 15% ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการออทิสติสม์ในเด็กอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีเด็ก 1 ใน 100 คน มีอาการออทิสติสม์และยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร แต่การค้นพบว่าโครโมโซมลำดับที่ 5 มีผลทำให้เกิดอาการออทิสติสม์ครั้งนี้เป็นการค้นพบที่สำคัญสำหรับการหาวิธี ป้องกันโรคได้

8) พบยาใหม่รักษาโรคกระดูกพรุน

ยารักษาโรค กระดูกพรุนตัวใหม่จะทำหน้าที่ไปสกัดกั้นการทำลายเซลล์กระดูกในร่างกาย แต่ขณะนี้ตัวยาดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐ หรือเอฟดีเอ แต่มีการคาดการณ์ว่า หากยาดังกล่าวสามารถวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่ายารักษาโรคกระดูกพรุนที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน เช่น โฟซาแม็กซ์ โบนิวา และรีคลาสท์

9) พบยีนทำให้เป็นอัลไซเมอร์

มี การค้นพบยีน 3 ตัวที่คาดว่ามีผลทำให้เซลล์ประสาททำงานไม่เป็นปกติ และทำให้เกิดความปรวนแปรในระบบความจำ เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ โดยการค้นพบนี้ทำให้แพทย์มีความหวังว่าจะสามารถต่อยอดและพัฒนาวิธีการรักษา อัลไซเมอร์ต่อไปในอนาคต

10) Brown Fat ทำให้เกิดโรคอ้วนในผู้ใหญ่

การ ค้นพบว่าไขมันสีน้ำตาล หรือ Brown Fat ซึ่งปกติจะทำหน้าที่สลายพลังงานแทนการสะสมพลังงานนั้น อาจทำให้เกิดโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ได้ แต่ในปัจจุบันคนที่มีอายุมากขึ้น การทำงานของไขมันสีน้ำตาลกลับทำได้ลดลง และไปสะสมอยู่ที่ลำคอมากขึ้น ซึ่งมีผลให้คนที่เคยรูปร่างผอมบางอาจมีคอโตกว่าคนที่อ้วนกลมกว่า โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น จะพบว่ามีเซลล์ไขมันสีน้ำตาลมากกว่าคนในพื้นที่อื่นมาก


หน้า 33
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02spo04311252&sectionid=0219&day=2009-12-31

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

บทเรียนมาบตาพุด การพัฒนาอุตสาหกรรมบนสิทธิชุมชน

 

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4171  ประชาชาติธุรกิจ


บทเรียนมาบตาพุด การพัฒนาอุตสาหกรรมบนสิทธิชุมชน





ตลอด ปี 2552 ประเด็นปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เป็นกระแสสร้างความวิตกกังวลให้กับภาครัฐและ เอกชนมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของมาบตาพุด หลังจากที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ "ระงับ" การดำเนินการ 76 โครงการที่มีมูลค่ารวมกว่า 400,000 ล้านบาท

ทว่าปัญหาของมาบตาพุด ไม่ได้เพิ่งเกิดมาเมื่อ 1-2 ปีนี้ แต่เป็นปัญหาที่ถูกสะสมกันมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ในปี 2531 พื้นที่แนวกันชน ที่เคยถูกกำหนดไว้ในผังเมือง โรงงาน และบ้านพักอาศัยชุมชน ต้องห่างกันไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตร แต่กลับมีการรุกล้ำพื้นที่ของทั้งฝ่ายเอกชนและชาวบ้าน จนปัจจุบันทำให้พื้นที่โรงงานและบ้านพักอาศัยชาวบ้านอยู่ติดกันแค่รั้วกั้น

ความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจึงเกิดขึ้นกับชาวบ้านทั้งสุขภาพอนามัยและอาชีพประมง ขณะที่โรงงานเอกชนมักตกเป็นจำเลย เป็นต้นเหตุของปัญหา แต่ก็ไม่เคยมีการ "ยอมรับ" แต่ตั้งท่าปฏิเสธกันมาโดยตลอด

กลุ่มชาวบ้านชุมชนในพื้นที่ มองเห็นว่า ในพื้นที่มาบตาพุดมีทั้งขยายกำลังการผลิตการก่อสร้างโรงงานใหม่ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนโรงงานอยู่ไม่ต่ำกว่า 300 โรง ซึ่งไม่เพียงแต่เนื้อที่เท่านั้น แต่ศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับ การปล่อยมลพิษ (Carrying Capacity) ก็แทบจะเต็ม ไม่สามารถรองรับการขยายกำลังผลิตของโรงงานต่อไปได้อีก

ชาวบ้านจึง ไม่อยากให้มีการอนุมัติก่อสร้างโรงงานในพื้นที่อีก พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้มีการจัดสรรงบประมาณ ให้อำนาจท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการแผนควบคุมมลพิษในพื้นที่อย่างเข้ม งวด

การเรียกร้องดังกล่าวชัดเจนมากขึ้น ในปี 2549 ในช่วงเวลาที่ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีการมองว่า พื้นที่มาบตาพุดถือเป็นหัวใจการลงทุนของประเทศไทย ดังนั้นการประกาศเขตควบคุมมลพิษจึงอาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นการลงทุนของประเทศได้ ผลจึงออกมาในรูปของแผนปฏิบัติการจัดการมลพิษที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณร่วมกับ การลงขันเอกชนในการ ลดการปล่อยมลพิษในพื้นที่ โดยใช้หลักเกณฑ์ 80 : 20

กล่าว คือ หากโครงการใดที่มีความประสงค์ก่อสร้างโครงการใหม่หรือขยายโครงการจะต้องมี แผนลดการปล่อยมลพิษของโครงการเดิมลงให้ได้ 20% โดยปริมาณมลพิษที่ลดได้นั้น 80% ให้นำไปขยายโครงการ ส่วนอีก 20% จะต้องคืนให้กับทางการ

ยก ตัวอย่างเช่น บริษัท B ต้องการขยายการผลิตในพื้นที่จังหวัดระยองก็จะต้องหาจับคู่กับบริษัท A ซึ่งมีโรงงานเดิมตั้งอยู่ หากเดิมบริษัท A ปล่อยมลพิษอยู่ในระดับ 100 ตามมาตรฐาน ก็จะต้องจัดทำแผนการลดมลพิษ 20% ให้เหลือการปล่อยมลพิษอยู่ในระดับ 80 ซึ่งส่วนที่ลดได้ 20 นั้น บริษัท B สามารถนำมาขยายการผลิตได้ โดยกำหนดว่าจะปล่อยมลพิษได้เพียง 16 เท่านั้น ส่วนอีก 4 จะต้องส่งคืนให้กับทางการ เป็นต้น หมายความว่า เมื่อยิ่งขยายการผลิตหรือขยายโรงงานก็ยิ่งจะทำให้ปริมาณมลพิษมากขึ้น

ชาวบ้านเริ่มใช้สิทธิทางกฎหมาย

เมื่อ การเรียกร้องของชาวบ้านไม่เป็นผล ประกอบกับไม่พึงพอใจในแผนปฏิบัติการลดมลพิษดังกล่าว ชาวบ้านในพื้นที่ที่อ้างตนเป็นผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 27 คน ได้รวมตัวกันใช้สิทธิทางกฎหมายยื่นฟ้อง ต่อศาลปกครองระยองให้มีคำสั่งว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนก่อให้เกิดมลพิษ สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตของคนในพื้นที่ พร้อมขอให้ประกาศพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ

วันที่ 3 มีนาคม 2552 ศาลปกครองระยองได้พิจารณาเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง จึงได้มีคำสั่งให้พื้นที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้งตำบลเนินพระ ตำบลมาบข่า และตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง เป็น "เขตควบคุมมลพิษ" นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของชาวบ้านในการใช้สิทธิตามกรอบกฎหมาย

ท่าม กลางกระแสทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการประกาศเขตควบคุมมลพิษ ยุติลงด้วยมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติให้เดินหน้าประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นเขตควบคุมมลพิษภายใน 60 วัน (จากวันที่ 3 มีนาคม 2552) ตามคำพิพากษาของศาลปกครองระยอง

แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจะยื่น อุทธรณ์เฉพาะประเด็นที่คณะกรรมการฯถูกศาลปกครองระยองวินิจฉัยว่า "ละเลยการปฏิบัติหน้าที่" โดยชี้แจงว่า ในช่วง ที่ผ่านมาคณะกรรมการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ความสำคัญด้านการแก้ไขปัญหา จัดการมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดมาโดยตลอด ดำเนินการไปตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ได้ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด

NGO รุกหนักเดินเกมต่อสู้ทางกฎหมาย

เมื่อ การใช้สิทธิทางกฎหมายเห็นผล จนชาวบ้านเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะขึ้น กลุ่มองค์การพัฒนาเอกชน (NGO) จึงเห็น ช่องทางในการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อเอาผิดหน่วยงานภาครัฐ ในฐานะเป็นต้นเหตุให้พื้นที่มาบตาพุดเกิดมลพิษ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

ในวันที่ 19 มิถุนายน 2552 เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกที่นำโดยนายสุทธิ อัชฌาศัย 1 ใน 27 คน ที่เคยยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครองระยองได้ร่วมกับ 3 หน่วยงาน คือ ชมรมสิ่งแวดล้อมสภาทนายความ, สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และสมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครอง สิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง กล่าวหา 8 หน่วยงานภาครัฐมีการดำเนินการที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550

โดย 8 หน่วยงานที่ถูกฟ้องร้อง ได้แก่ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

สาเหตุของการฟ้องร้องเนื่องจากช่วง ที่ผ่านมาทั้ง 8 หน่วยงานได้ดำเนินการอนุมัติ/อนุญาตแก่กิจการในพื้นที่จังหวัดระยอง ที่เข้าข่ายมาตรา 67 โดยพิจารณาเห็นชอบแต่รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ละเลยไม่พิจารณาเห็นชอบรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และ การไม่เปิดรับฟังความเห็นจากองค์กรอิสระ ซึ่งไม่เป็นตามกฎหมาย ดังนั้นจึงขอให้ศาลปกครองพิจารณาเพิกถอนคำสั่งอนุมัติ/อนุญาตกับกิจการทั้ง หมดในจังหวัดระยองที่ได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 หลังจากที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด

จนวันที่ 29 กันยายน 2552 ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการ ตามคำฟ้องของโจทก์ สร้างผลกระทบ ในวงกว้าง โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุน นับเป็นชัยชนะครั้งที่สองของกลุ่ม NGO

แต่ หลังจากศาลปกครองกลางมีคำสั่งออกมา ทั้ง 8 หน่วยงานภาครัฐผู้ถูกฟ้องก็ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด จนล่าสุดวันที่ 2 ธันวาคม 2552 ปรากฏศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองให้ระงับการดำเนินการ 76 โครงการ ในพื้นที่มาบตาพุดต่อไป "ยกเว้น" 11 โครงการที่ไม่เข้าข่ายเป็นกิจการรุนแรง ถือเป็นกิจการที่ช่วยลดมลพิษ

ดัง นั้นกรณีมาบตาพุดจึงนับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรม แม้ที่สุดแล้วจะแก้ไขให้ทั้ง 65 โครงการ เดินต่อได้ แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพราะ มาตรา 67 รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ใช่บังคับแค่โครงการในมาบตาพุดเท่านั้น แต่บังคับทั่วประเทศ เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพิงมูลค่าการลงทุนได้ในอนาคต บทเรียน การแก้ไขปัญหามาบตาพุดในครั้งนี้ ส่งผลให้รัฐบาลตระหนักและจะต้องนำไปกำหนดเป็นแผนพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศใน อนาคตต่อไป


หน้า 3
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv01311252&sectionid=0203&day=2009-12-31

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

คำพิพากษาแห่งปี"52 ปิดฉากหลายคดีใหญ่

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


คำพิพากษาแห่งปี"52 ปิดฉากหลายคดีใหญ่





ปิดฉาก"ป๋าลอ"อุ้มฆ่า2แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์

ปิดฉาก"ป๋าลอ"อุ้มฆ่า2แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์

สิ้น สุดลงเสียทีสำหรับคดีประวัติศาสตร์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต "ป๋าลอ" พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผบช.ประจำตร. หัวหน้าทีมอุ้มฆ่าแม่ลูก นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เมียและลูก นายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีโจรกรรมเพชรซาอุฯ เมื่อ 15 ปีก่อน

ขณะที่ลูกทีม พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีต สว.สส.สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี นายนิคม หรือ ป๊อด มนต์ศิริ และ นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือ "พงษ์ ปากกว้าง" ที่ลงมือสังหาร 2 แม่ลูกแล้วอำพรางเป็นคดีรถชน โดนคุกตลอดชีวิต

ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 5-6 คน ต้องโทษจำคุกลดหลั่นกัน

ต้น ตอของคดีประวัติศาสตร์ เกิดจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานในวังเจ้าชาย ไฟซาล ประเทศซาอุดีอาระเบีย ลักลอบขนเครื่องเพชรจำนวนมากกลับเมืองไทยช่วงปี 2533 หลังจากนั้นตำรวจใช้เวลาไม่นาน จับกุมและยึดเครื่องเพชรจำนวนมากส่งคืนได้สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ไปทั่วโลก เพราะเพชรส่วนใหญ่รวมถึง "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ ที่มีคุณค่ามากที่สุดถูกปลอมแปลงขึ้นส่งกลับคืนไป

จุดนี้ทำให้เกิด ข้อสงสัยว่าเกิดการ "อมเพชร" ขึ้นในหมู่ตำรวจที่ร่วมทำคดี ทำให้นายสันติ ในฐานะพ่อค้ารับซื้อเพชรต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะถูกต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลอมเพชรให้พล.ต.อ.คนดัง จนต้องถูกจับกุมดำเนินคดี แต่นายสันติไม่เคยปริปากซัดทอดใคร เพราะเกรงกลัวอิทธิพลมืดจะลุกลามไปถึงครอบครัว

แต่แล้วเรื่องที่กลัวก็เป็นความจริงขึ้นมาจนได้

เมื่อ วันที่ 1 ส.ค. 2537 มีคนไปพบศพนางดาราวดีและด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ เมียกับลูกเสี่ยสันติ กลายเป็นศพคารถเบนซ์ บนถนนมิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ในสภาพรถถูกชน

เมื่อดูรูปการณ์แล้วน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ "ข่าวสด" เป็นสื่อฉบับแรกที่ออกมาสวนกระแสว่าเรื่องนี้เป็นการฆาตกรรม ที่เชื่อมโยงไปถึงคดีเพชรซาอุฯ เพราะทั้งคู่หายตัวออกจากบ้านไปนานกว่า 1 เดือนก่อนกลายเป็นศพ กลายเป็นประเด็นที่สั่นสะเทือนไปทั่ววงการสีกากี เพราะประเด็นข่าวมุ่งไปที่เพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แถมยังมีการยืนยันจากสถาบันนิติเวชว่าเป็นอุบัติเหตุอีกต่างหาก

แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทยขณะนั้น รับรู้เรื่องไม่ชอบมาพากลก่อนหน้าที่ 2 แม่ลูกจะเสียชีวิต จึงสั่งตั้งชุดทำงานพิเศษ รวบรวมมือปราบพระกาฬจากนครบาลและกองปราบปรามลงพื้นที่ทันทีจนพบเบาะแส หลายอย่าง ซึ่งในห้วงนั้น พ.ต.ท.พันศักดิ์ หน.ทีมอุ้มฆ่า ก็ได้รับคำสั่งมาร่วมช่วยทำคดีด้วย แต่ถูก พ.ต.ท. เมธี กุศลสร้าง รองผกก.1 ป. หลอกล่อจนคายความลับออกมา อันนำไปสู่การถูกจับกุมเป็นคนแรก และให้การซัดทอด "ป๋าลอ" เป็นผู้สั่งการให้อุ้ม 2 แม่ลูก เพื่อบีบเสี่ยสันติคายความลับเรื่องเพชร

ภายหลังทีมสังหารถูกจับ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ยอมสาร ภาพว่า เมื่อได้รับคำสั่งฆ่าก็พาสองแม่ลูกขึ้นรถเบนซ์ขับมายังจุดพบศพ ให้ลูกน้องใช้เหล็กฟาดจนตาย ก่อนจับขึ้นนั่งบนรถเข็นออกไปชนกับรถสิบล้อเพื่ออำพรางคดี ซึ่งต่อมาในวันที่ 14 ก.ย. 2537 "ป๋าลอ" เข้ามอบตัวพร้อมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "ป๋าลอ" และทีมอุ้มฆ่า ต่อมาวันที่ 3 มี.ค. 2549 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิ่มโทษ "ป๋าลอ" เพียงคนเดียวให้ประหารชีวิต ส่วนทีมอุ้มฆ่าจำคุกตลอดชีวิต จึงทำให้ "ป๋าลอ" ยื่นขอฎีกา

จนกระทั่งวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

ตัดสินประหารชีวิตสถานเดียว!!

ฎีกายืนคุก50ปีโล้นกามฉาว"ภาวนาพุทโธ"




"จ่ามี"ไม่รอด-ศาลอุทธรณ์ยืนประหาร

คำ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหาร นายสิทธิพร ขำอาจ หรือ "จ่ามี" อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และ นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือ ส.จ.รักษ์ อดีต ส.จ.เลย ในฐานะผู้จ้างวานฆ่าแม่ นางคมคาย พลบุตร อดีตส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้สองจำเลยต้องคอตกเดินเข้าคุกรอชดใช้กรรม

คดีระเบิดรถยนต์ที่นาง ปัทมา เฟื่องประยูร เมียนายสนิท เฟื่องประยูร หรือ "ส.จ.หนิด" อดีตส.จ. จันทบุรี แม่ของส.ส.คมคาย เป็นข่าวโด่งดังเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2540

หลังจากนางปัทมาขับรถเบนซ์ของส.จ.หนิด จากบ้านไปเรียนที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี

แต่ช่วงที่ขับรถขึ้นลานจอด ใต้ท้องรถเกิดครูดกับเนินปูนจนระเบิดที่ผูกไว้ระเบิดขึ้น

ช่วง แรกในการสืบสวน สร้างความสับสนมึนงงให้ตำรวจเป็นอย่างมาก เพราะระเบิดดังกล่าวทำงานจากการจุดชนวนด้วยรีโมตคอนโทรล คนร้ายจะต้องอยู่ใกล้ๆ เพื่อลงมือจะได้ไม่ผิดตัว แต่ประวัตินางปัทมาไม่เคยมีเรื่องกับใคร สุดท้ายจึงพบว่าคนร้ายติดระเบิดไว้เพื่อสังหารส.จ.หนิดผู้เป็นสามี มูลเหตุมาจากปัญหาการเมืองที่ต่อสู้กันอย่างรุนแรงในพื้นที่

แต่ระเบิดเกิดไม่ทำงานจนนางปัทมานำไปใช้แล้วรับเคราะห์ไปแทน

เมื่อ ได้ประเด็นที่ชัดเจน ทีมสืบสวนจึงลุยเต็มที่เพื่อหาข้อมูลให้มากที่สุด จนโยงใยไปถึงกลุ่มมือสังหาร ที่ปรากฏชื่อ "จ่าฤทธิ์" หรือ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ เทวานุรักษ์ ตำรวจสภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ร่วมทีมอยู่ด้วย

เมื่อถูกเจ้านายเรียกไปซักถาม "จ่าฤทธิ์" ก็เปิดปากสารภาพจนหมดเปลือก

หลัง นำข้อมูลที่ได้ไปรวมเข้ากับหลักฐานอื่น จึงเป็นที่มาของการออกหมายจับและจับกุม "จ่ามี" และ "ส.จ.รักษ์" รวมถึง 2 มือระเบิด นายกนกพล หรือ เหน่ เยี่ยมสวัสดิ และนายโสภณ ปัทมานุช หรือ "แดง ฟู"

ด้วยความกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก นายกนกพลจึงชิงเข้ามอบตัวก่อน พร้อมให้การสารภาพและซัดทอดผู้บงการทั้งหมด

ตำรวจดำเนินคดีและส่งฟ้องศาลนายกนกพลเป็นรายแรก ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

ส่วน นายโสภณยังตามตัวไม่เจอจนถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่แน่ใจว่ายังกบดานอยู่ หรือถูกฆ่าตัดตอนไปแล้ว เนื่องจากเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่จะพาไปหาผู้บงการตัวจริง

ชุดสืบสวนต้องกันตัว จ่าฤทธิ์ และลูกน้อง คือนายจเร สุขเจริญ หรือ "เร ชาร์กี้" ไว้เป็นพยาน เพราะรู้ขั้นตอนต่างๆ ในการวางแผน

แม้ จะมีข้อมูลที่พร้อม และจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้เกือบทั้งหมด แต่คดีมีความวุ่นวายตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะการตายของ 2 พยานสำคัญ "จ่าฤทธิ์" และ "ไอ้เร" ลูกน้องคนสนิท หลังจากขอตำรวจออกจากเซฟเฮาส์กลับบ้านได้ไม่นาน

"จ่าฤทธิ์" ยิงตัวตาย คาดว่ามาจากความเครียดที่ถูกอัยการสั่งฟ้อง ทั้งที่ตำรวจกันตัวไว้เป็นพยาน และให้ความร่วมมือทุกอย่างจนสามารถพิชิตคดีได้สำเร็จ ส่วน "ไอ้เร" ถูกยิงตายคาบ้านพัก

ซึ่งนอกจากจะฟ้องจ่าฤทธิ์แล้ว อัยการยังสั่งไม่ฟ้อง จ่ามี ส.จ.รักษ์ ร้อนถึงผู้ว่าฯ จันทบุรี สมัยนั้นต้องทำหนังสือแย้งความคิดเห็น กระทั่งอัยการสูงสุดดึงเรื่องไปดูแลเอง จนกระทั่งมีการสั่งฟ้องจ่ามี ส.จ.รักษ์ และผู้ต้องหาอื่นทั้งหมด

ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา ประหารชีวิต จ่ามี ส.จ.รักษ์ และมือระเบิดอีก 2 คน คือ นายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย จ.ส.อ.นิคม จิตรกูล หรือ จ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งต่อมาจ่ามี ส.จ.รักษ์ และนายประสงค์ ยื่นอุทธรณ์ ส่วนเปี๊ยก ซีโฟร์ ไม่ยื่น เพราะป่วยอยู่ในคุกเดินเหินไม่ได้ คิดว่าหากรับโทษอยู่ในคุกน่าจะได้รับการรักษาที่ดีกว่าออกมาอยู่ข้างนอก

"จ่ามี"ไม่รอด-ศาลอุทธรณ์ยืนประหาร



เวลาผ่านไป 2 ปีเศษ ศาลอุทธรณ์อ่านคำ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น



ฎีกายืนคุก50ปีโล้นกามฉาว"ภาวนาพุทโธ"

อีก คดีหนึ่งที่ปิดฉากลงในปี 2552 หลังจากใช้เวลาในการพิจารณาและต่อสู้จนครบทั้ง 3 ศาล นั่นคือคดีกามฉาว เมื่อ 14 ปีก่อน นายจำลอง คนซื่อ หรือ "สมี พุทโธ" อดีตพระภาวนาพุทโธ เจ้าอาวาสวัดสามพราน จ.นครปฐม

เรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2538 เนื่องจากพระลูกวัดสาม พรานทนต่อพฤติกรรมของสมีเจ้าอาวาสต่อไปไม่ไหวทำเรื่องร้องเรียนไปยังกรมการ ศาสนา กองปราบปราม และ "ข่าวสด"

ทันทีที่รับเรื่องร้องเรียน "ข่าวสด" ส่งทีมข่าวลงพื้นที่เสาะหาข้อมูลทันที พบว่างานนี้มีมูลความจริงหลายอย่าง โดยเฉพาะหลักฐานเด็ดเป็นจดหมายร้องทุกข์ของเหยื่อกาม 6 ราย ที่ส่งให้ตำรวจกองปราบปราม "ข่าวสด" จึงเปิดประเด็นข่าวทันที จนนำไปสู่การทลายฮาเร็มนรก

เหยื่อสาวบรรยายพฤติกรรมของสมีนรกและแม่ เล้าห่มขาว ว่าทุกครั้งที่จะส่งเด็กสาวไปสังเวยกามจะใช้วิธีจับสลาก หากใครถูกแจ๊กพอตจะถูกส่งเข้าห้องเชือด โดยใช้รหัสว่า "ซักจีวร" และทันทีที่ได้ยินรหัสดังกล่าว เด็กสาวต่างพากันหวาดผวาไปตามๆ กัน หากคนไหนไม่ยอมจะถูกแก๊งแม่เล้าห่มขาวจับขึงพืดให้สมีนรกข่มขืนยับ

หลัก ฐานทั้งหมดชัดเจนเพียงพอ จนกระทรวงมหาดไทยออกหมายจับใน 3 ข้อหาฉกรรจ์ คือ กระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี, อนาจารเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และข่มขืนหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน ซึ่งหลังถูกออกหมายจับไม่นานสมีพุทโธก็ดอดเข้ามอบตัว เลยถูกจับสึกและให้เจ้าทุกข์รุมชี้ตัวก่อนส่งเข้าเรือนจำ

หลังจาก นั้นเป็นคิวของแม่ชีต้นห้องที่ร่วมก่อกรรม ประกอบด้วย น.ส.สมจิตร รักสีขาว, น.ส.ช่อผกา สกุลวนาการ, น.ส. อนงค์ วงศ์ใจประเสริฐ, น.ส.จินตนา ดาราโรดม, น.ส.สุภาพ นาวรัตน์, นางศรีเพ็ญ มีกลอนเพราะ และน.ส.ขนิษฐา มีกลอนเพราะ

ศาลชั้นต้นใช้เวลานานเกือบ 10 ปี ในการสืบพยานและพิจารณาคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วน

จน มีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ว่าทั้งหมดกระทำผิดจริงตามกรรมต่างวาระ ให้จำคุกนายจำลอง เป็นเวลาทั้งสิ้น 160 ปี แต่กฎหมายระบุให้จำคุกจำเลยได้ไม่เกิน 50 ปี จึงพิพากษาให้จำคุกสมีไว้ 50 ปี เต็มอัตราตามข้อกฎ หมายส่วนบรรดาแม่เล้าห่มขาวทั้งหลายถูกโทษจำคุกลดหลั่นกันไป ตั้งแต่ 4-31 ปี มีเพียงจำเลยที่ 8 คือ น.ส.ขนิษฐา คนเดียวเท่านั้นที่รอดตัว เพราะศาลยกฟ้อง

แก๊งกามนรกยื่นขออุทธรณ์ทันที และมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ให้ยืนตามศาลชั้นต้น ทำให้สมีพุทโธกับน.ส.ช่อผกา สมุนมือขวายื่นขอฎีกาทันที ส่วนพวกที่เหลือ บ้างก็เสียชีวิต บ้างรับโทษจนครบกำหนดไปก่อนหน้านี้ เพราะศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ระหว่างการพิจารณาคดี

ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ท่ามกลางความตะลึงงันของเหล่าสาวกที่ยังคงเลื่อมใส พากันนุ่งห่มขาวมาให้กำลังใจ

ปิดตำนานโล้นฉาวไปอีกบท



อุทธรณ์ประหาร"ส.ว.สุขุม"จ้างฆ่าพ.ญ.จุฬาฯ



คดี อุกอาจอันโด่งดังในปี 2539 เมื่อ 2 มือปืนขี่รถจักรยานยนต์จ่อยิง พ.ญ.นิชรี มะ กรสาร อาจารย์แพทย์ประจำคณะแพทย ศาสตร์จุฬาฯ เสียชีวิตคารถเบนซ์ขณะขับรถออกจากบ้านย่าน อสมท ไปทำงาน

ผู้ต้อง สงสัยในคำสั่งสังหารครั้งนี้ มีอยู่ 2-3 กลุ่ม ล้วนเป็นนักการเมือง ที่รู้จักนายตำรวจ คนในวงการยุติธรรม บางคนเกี่ยวพันกับกลุ่มคนมีสี ทำให้ พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา อ.ตร. (ขณะนั้น) สั่งการให้จับกุมคนร้ายมาลง โทษให้ได้

เมื่อสืบสาวลึกลงไป ผู้ต้องสงสัยถูกตัดออกทีละคน จนเหลือเพียง นายสุขุม เชิดชื่น ส.ว.กทม. ที่มีเหตุขัดแย้งกับพ.ญ.นิชรี จากการถูกฟ้องร้องเรียกเงินหลายร้อยล้าน มูลเหตุมาจากการที่นายสุขุมและมารดา พ.ญ.นิชรี ร่วมทำธุรกิจกัน แต่ต่อมาถูกตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในธุรกิจหลายอย่าง

เพราะดูเหมือน นายสุขุมจะร่ำรวยเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จึงขอถอนหุ้น แต่ปรากฏว่านายสุขุมนำเอกสารมายืนยันว่า มีการถอนหุ้นออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว

พ.ญ.นิชรี พบความผิดปกติในลายเซ็นของมารดา จึงนำเรื่องขึ้นสู่ศาลเพื่อเรียกเงินทั้ง หมดคืน

นอก จากทีมสืบสวนจะติดตามจนพบสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีหลักฐานที่นายสุขุมพยายามจ้างมือปืนถึง 2 กลุ่ม ให้เป็นผู้ลั่นไก แต่ทั้งหมดไม่ยอมรับงาน เพราะเห็นเป็นหมอ นายสุขุมจึงให้ 2 ลูกน้องคนสนิท นายชัชพัฒน์ หรือเซ็ง กิตติธนากร และนายวิเชียร หรือม่อน กิตติธนากร ติดต่อหามือปืนใหม่ จนได้นายธนศักดิ์ หรือใหม่ ยิ้มดี เป็นมือปืน และนายสราวุธ หรือตั๊ก ไชยสิงห์ เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ และเป็นทีมสังหารที่ลงมือจนสำเร็จตามความประสงค์ของนายสุขุม

ขณะที่ ชุดสืบสวนคืบเข้าใกล้มือปืนและตัวนายสุขุมเข้าไปทุกที นายชัชพัฒน์ ผู้ติดต่อมือปืน ได้วิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือจากนายพลสีกากีคนหนึ่ง และผู้ใหญ่ในวงการยุติ ธรรม โดยอ้างว่าถูกตำรวจเพ่งเล็งและกลัวจะถูกอุ้ม

แต่ ในที่สุดด้วยพยานหลักฐานต่างๆ ที่ตำรวจมี ทำให้กลุ่มมือปืนไม่อาจรอดพ้นจากบ่วงกรรมที่ก่อไว้ ทั้ง 4 คนถูกรวบตัวไว้ได้หมดในวันที่ 7 มกราคม 2540 ทั้งหมดยอมสารภาพจนหมดไส้ หมดพุง ซัดทอดนายสุขุมเป็นตัวการใหญ่

รวมถึงได้มือปืนอีก 2 กลุ่มที่ถูกว่าจ้างก่อนหน้านั้น แต่ไม่กล้ารับงาน และทีมสังหารทั้ง 4 คน ยอมเป็นพยานให้อัยการ ตำรวจจึงออกหมายจับนายสุขุม แต่สมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ไม่ยอม อ้างว่ายังอยู่ในสมัยประชุม

จน กระทั่งวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน นายสุขุมเข้ามอบตัว หลังหมดสมัยประชุม พร้อมให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีเรื่อยมา โดยอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง

แต่ทว่าพยานหลักฐานทั้งหมดที่มี ทำให้ตำรวจและอัย การมีความมั่นใจ จึงเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลฟ้องนายธนาศักดิ์ มือปืน นายสราวุฒิ ผู้ขี่รถจักรยานยนต์ นายชัชพัฒน์ นายวิเชียร ผู้จัดหามือปืน และนายสุขุม เป็นจำเลยที่ 1-5

หลังจากใช้เวลาในการทำสำนวนและพิจารณาคดีอยู่นานจน นายชัชพัฒน์ จำเลยที่ 3 เสียชีวิตไปก่อน ในที่สุดศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ให้ลงโทษ นายธนศักดิ์ นายสราวุฒิ และนายวิเชียร ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และพ.ร.บ.อาวุธปืน ตัดสินลงโทษประหารชีวิต แต่ทั้งหมดให้การรับสารภาพและให้ความรู้แก่ศาล จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกตลอดชีวิต

ส่วนนายสุขุมมีความผิดฐาน จ้างวานใช้ให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว หลังฟังคำพิพากษา ผู้ต้องหาทั้งหมดยื่นอุทธรณ์ โดยกลุ่มมือสังหารกลับคำว่าถูกตำรวจซ้อมจนต้องยอมสารภาพ

ศาลอุทธรณ์ ต้องใช้เวลาในการสืบพยานและพิจารณาคดีอีกเป็นเวลาเกือบ 5 ปี และมีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2552 ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น


หน้า 2
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

แห่ชมแม่คะนิ้งอ่างขาง

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


แห่ชมแม่คะนิ้งอ่างขาง





ตื่นตา - นักท่องเที่ยวพากันถ่ายรูปยอดหญ้าที่มีน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้งเกาะจนขาว โพลน ด้วยความตื่นเต้น ระหว่างท่องเที่ยวที่สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียง ใหม่ ในช่วงเทศกาลปีใหม่

เมื่อ เวลา 06.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง 2 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้เกิดเกล็ดน้ำแข็งบางๆ บนยอดหญ้า หรือแม่คะนิ้ง หรือที่ชาวบ้านในพื้นที่เรียกว่า เหมยคาบ ทั่วบริเวณ มองเห็นเป็นสีขาวโพลนไปทั่วแปลงไม้ผลในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางจำนวนมาก สร้างความตื่นเต้นให้แก่นักท่องเที่ยว พากันไปชื่นชมความงามของแม่คะนิ้ง บางรายเดินไม่ไหวต้องใช้วิธีขี่ม้าเพื่อไปสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวตื่นเต้นที่จะได้เห็นแม่คะนิ้ง แต่เจ้าหน้าที่สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง ต้องรีบปลุกคนงานเพื่อรีบรดน้ำเพื่อละลายเกล็ดน้ำแข็งป้องกันไม่ให้ต้นไม้ ตาย โดยเฉพาะไม้ผลต้นใหญ่ เช่น ท้อ, สาลี่ เนื่องจากหากปล่อยไว้เมื่อถูกแสงแดดจนแม่คะนิ้งละลาย จะเกิดความเสียหายได้ ส่วนแปลงไม้ผลบางแห่งมีหลังคาพลาสติกคลุมอยู่ เช่น แปลงทดลองสตรอว์เบอร์รี่ เบื้องต้นคาดว่าจะมีแม่คะนิ้งลงบนดอยอ่างขางติดต่อกันหลายวัน อาจนานถึงกลางเดือนม.ค.ปีหน้า


หน้า 16
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXhNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ข่าวฮาแห่งปี 2552

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


ข่าวฮาแห่งปี 2552





-โจ๋เมาพิเรน-อุ้มหุ่นจ่าเฉย

คนเมาแล้วพิเรนมีอยู่ไม่น้อย อย่างเจ้าหนุ่มเด็กท้ายรถรายนี้

เช้าตรู่ 7 ม.ค. พ.ต.ท.เฉลิมศักดิ์ ตรีพนากร สว.สส.สน.ประชาชื่น รับแจ้งจากพลเมืองดีเห็นชายวัยรุ่นขโมยหุ่นจ่าเฉยไปจากบริเวณบนสะพานข้ามแยก รัชวิภา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. โดยอุ้มขึ้นรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษฉ-6508 กทม.

ตรวจสอบทะเบียนรถพบว่าเป็นรถนายวัฒนา เจริญสูงเนิน อายุ 35 ปี เจ้าของอู่รถร่วมบริการวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี มีที่พักอยู่ภายในซอยลาดปลาเค้า เขตบางเขน กทม.

สายวันรุ่งขึ้น นายพิจิตร หรือโจ้ ชลัมพุช อายุ 24 ปี หลานชายนายวัฒนา ก็หิ้วนายทวีวุฒิ หรือบอย ต้นคำ อายุ 21 ปี ชาวอุบลราชธานี ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กประจำรถทัวร์ในสภาพเมาค้างมาพบตำรวจ พร้อมหุ่นจ่าเฉย

หนุ่มบอยสารภาพว่า อุ้มจ่าเฉยไปจริง เพราะโดนเพื่อนท้าในวงเหล้า

เพื่อนๆ หัวเราะชอบใจกันยกใหญ่ในความคะนองของเพื่อน พากันกินเหล้าฉลองต่อถึงเช้า ขณะที่ตำรวจกำลังตามหาจ่าเฉยกันจ้าละหวั่น

เลยถูกปรับตามระเบียบ และให้ทำความเคารพจ่าเฉยด้วย

โทษครับจ่า ผมเมา



- หนุ่มอิเหนา-แฝดโอบามา

จู่ๆ หนุ่มอิเหนาวัย 34 ก็เป็นคนดังชั่วข้ามคืน เพราะมีใบหน้าละม้ายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ

เรื่องเกิดขึ้นก่อนหน้าที่บารัก โอบามา กำลังจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเพียง 1 วัน

19 ม.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หนุ่มคนดังกล่าวคือ นายอิลฮาม อานาส อายุ 34 ปี กลายเป็นคนดังในอินโดนีเซียไปแล้ว เนื่องจากไปไหนมาไหนมีแต่คนขอถ่ายรูปและขอลายเซ็น และยังได้เป็นดาราถ่ายแบบโฆษณาอีกด้วย

ที่ชาวอินโดนีเซียตื่นเต้น เพราะส่วนหนึ่งผูกพันกับนายโอบามาเป็นพิเศษ เนื่องจากนายโอบามาเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงจาการ์ตาหลังจากนางแอนน์ ดันแฮม มารดา แต่งงานกับนายโลโล โซโตโร ชาวอินโดนีเซีย หลังหย่าขาดกับพ่อของโอบามาที่เป็นชาวเคนยา

นายอานาสถูกเพื่อนๆ จับใส่สูทผูกไทคล้ายๆ โอบามา นำไปโพสต์ในอินเตอร์เน็ต เป็นคนดังอย่างรวดเร็ว มีสถานีโทรทัศน์และบริษัทโฆษณาติดต่อเข้ามาไม่ขาดสาย

หน้าคล้ายโอบามาในไทยไม่ยักรวยอย่างนั้นบ้าง



-18 อรหันต์รด.นะยะ-ว่อนเน็ต

ฟอร์เวิร์ดเมล์กลายเป็นเรื่องปกติในอินเตอร์เน็ต

แต่ที่ฮือฮาในปี 2552 คือมีการส่งต่อฟอร์เวิร์ดเมล์ภาพกลุ่มนักศึกษาวิชาทหารชาย (รด.) ที่มีบุคลิกกระตุ้งกระติ้ง แต๋วแตก

บางคนทาปากสีแดง เขียนคิ้ว ติดขนตางอน บางคนก็ยืนแอ๊กท่าหวานแหววถ่ายรูปตามแคมป์ฝึก

บางรูปที่ทำท่าทางพิเรน อมปากกระบอกปืนเอ็ม 16

ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นหลังพิธีปิดการฝึกภาคสนามนักศึกษาวิชาทหารจังหวัดทหารบกพิษณุโลก ประจำปีการศึกษา 2551

จังหวัดทหารบกพิษณุโลกนำนักศึกษาวิชาทหารทั้งหญิงและชายไปรับการฝึกฝนตาม หลักสูตร ระหว่างวันที่ 15-19 ม.ค. มี รด.จากโรงเรียนที่เข้ารับการฝึกหลายโรงเรียน

รด.นะยะในภาพมีด้วยกัน 18 คน เรียกว่า 18 อรหันต์

เรื่องนี้สร้างความหนักใจแก่หน่วยทหารไม่น้อย จึงสั่งล้อมคอกทุกหน่วยให้เพิ่มมาตรการกำชับเรื่องการใช้โทรศัพท์หรือกล้อง ถ่ายภาพระหว่างการฝึกรด. เพื่อไม่ให้เกิดการนำภาพไปตัดต่อสร้างความเสียหายให้แก่หน่วยงานอีกต่อไป



มันเสื่อมเสียนะยะ เอ๊ย นะครับ



-หักจู๋-โมโหโด่ไม่รู้ล้ม

ธรรมชาติไม่เคยสร้างความพอดีแก่มนุษย์ แม้แต่กับเรื่องนกเขา

บางคนอยากให้ชูคอขันจุ๊กกรูๆ ทุกเช้า แต่กลับนอนนิ่งคอพับคออ่อน ผิดกับไอ้หนุ่มตังเกรายนี้ ที่นกเขาขันจนทนไม่ไหว

บ่าย 18 มี.ค. ร.พ.วชิระภูเก็ต รับตัวนายผล (นามสมมติ) อายุ 28 ปี บ้านอยู่ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ที่ถูกส่งตัวมาจากร.พ.ป่าตอง มีอาการอวัยวะเพศแข็งตัวไม่หยุดและอักเสบบวมเขียวช้ำ

หนุ่มผล เป็นพนักงานเรือลากร่มที่หาดป่าตอง บอกว่า ปกติทุกเช้าอวัยวะเพศจะแข็งตัวเป็นประจำ แล้วทุกครั้งก็จะใช้มือหักกลางอวัยวะเพศ มันก็จะหดตัวไปเอง ทำมาเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก จนเป็นที่ขบขันของเพื่อนๆ

เช้าวันเกิดเหตุ ตื่นขึ้นมาอวัยวะเพศแข็งตัวเหมือนเช่นทุกวัน ก็จัดการหักช่วงกลางของอวัยวะเพศ แต่คราวนี้กลับมีเสียงดังแก๊ก แทนที่ของรักของหวงจะหดลงเหมือนทุกครั้ง กลับคด บวม เจ็บปวดจนทนไม่ไหว

แพทย์บอกว่า กรณีอวัยวะเพศแข็งตัวนานผิดปกติเป็นโรคอย่างหนึ่งเรียกว่า PRIAPISM แนะนำว่าหากอวัยวะเพศชายแข็งตัว แล้วต้องการให้หดตัวลง วิธีการง่ายๆ ทำได้โดยแช่น้ำอุ่น อวัยวะเพศชายจะกลับสู่ภาวะปกติ

อย่าทำอะไรพิเรนเช่นหนุ่มตังเกรายนี้เด็ดขาด



-เมาขับ-จอดงีบกลางถนน

นับตั้งแต่มีมาตรการตรวจจับคนเมาขับรถมีเรื่องฮาๆ เกิดขึ้นมากมาย

เช้า 5 เม.ย. นายสุรชัย ด้วงโกสน คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง แจ้งไปยังนายพิชิต เกลียกกุทัณฑ์ หัวหน้าศูนย์วิทยุ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ จ.ชลบุรี

ให้ตรวจสอบกระบะโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน ชง-6838 กทม. ซึ่งจอดนิ่งอยู่กลางถนนสุขุมวิท พัทยา-สัตหีบ ตรงข้ามทางเข้าหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพรฯ

ย้ำว่ากลางถนนจริงๆ

รถคันนี้มาตั้งแต่ตี 5 พยายามช่วยกันปลุกคนขับทุกวิถีทางแต่พี่แกก็ยังนอนนิ่ง จึงขอให้ตำรวจนำกรวยจราจรมากั้นเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุ

ในรถพบหนุ่มใหญ่อายุ 50 ปี นอนหลับหมดสติอยู่บนเบาะที่นั่งคนขับ ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น สุดท้ายจึงต้องนำอุปกรณ์การตัดถ่างมางัดประตูรถ พอพี่แกรู้สึกตัวก็ทำตายิบหยีหลบแดดก่อนขับหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ต่อมาทราบว่าคือเรือตรีรัฐพงศ์ กิจศรีเชาว์ อายุ 50 ปี ทหารเรือพื้นที่สัตหีบ ยอมรับว่า ดื่มหนักไปหน่อยจนเผลอหลับไป

แต่ก็ยังไม่ฮาเท่ารายต่อไป



-หัวหมอ-เจอด่านจอดนอน

00.45 น. 13 พ.ย. ร.ต.อ.ชญานนท์ สุขเนียม รองสว.จร.สน.ประเวศ นำกำลังตั้งด่านตรวจเมาไม่ขับ เยื้องห้างสรรพสินค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ ขาเข้า

พบรถเก๋งฟอร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กฉ 2700 สระบุรี แล่นเข้ามา จึงให้สัญญาณหยุดรถเพื่อขอตรวจ

ในรถพบนายรังสรรค์ คงสุวิทย์ อายุ 42 ปี มีผู้หญิงนั่งคู่มาด้วย บอกว่าไม่ขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ เจ้าหน้าที่เรียกให้ลงจากรถ

นอกจากจะไม่ลงแล้ว นายรังสรรค์ยังย้ายมานั่งเบาะข้างคนขับแล้วเอนเบาะลงทำเป็นหลับ ตำรวจไม่รู้จะทำยังไงจึงยกรถไปที่สน.โดยนายรังสรรค์นอนอยู่ในรถ



ตั้งแต่ 00.45 น. ที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ จนถึงเจ้าหน้าที่ลากรถมาที่โรงพัก นายรังสรรค์ยังคงไม่ยอมออกจากรถ ตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้

กระทั่งเช้านายรังสรรค์จึงยอมออกจากรถให้ตรวจแอลกอฮอล์

ถึงตอนนั้นก็พบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกินที่กฎหมายกำหนดแล้ว จึงไม่มีความผิดในข้อหาเมาแล้วขับ

แต่ถูกเปรียบเทียบปรับ 2 ข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และจอดรถกีดขวางการจราจร

นี่เขาเรียกหัวหมอ แต่อีกรายต่อไปนี้เรียกอะไรดี



-เป่าเมา-งับนิ้วตำรวจ

00.30 น. 14 ส.ค. นายชาติศักดิ์ พลอยเจริญ อายุ 36 ปี อาชีพเซลส์แมน ขับรถปิกอัพโตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน สธ 7178 กทม. มาเจอด่านตรวจแอลกอฮอล์บริเวณวงเวียน แยกกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี

ร.ต.อ.ชาญศักดิ์ เทพวงษ์ษา ร้อยเวรจราจร เห็นรถส่ายไปส่ายมา จึงเรียกตรวจ แต่นายชาติศักดิ์ไม่ยอมหยุดรถ จ.ส.ต.พนมพร สุขรมย์ และ ด.ต.ปองปรีดา วรรณราม ขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันที่ปากซอยทองคำ

นายชาติศักดิ์ไม่ยอมเป่าเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ แต่กลับกัดเข้าที่ต้นแขนซ้ายจ.ส.ต.พนมพร และงับนิ้วด.ต.ปองปรีดาที่เข้ามาช่วยเหลือ ถึงเลือดพุ่งกระฉูด

ฤทธิ์เหล้าคงทำให้พี่แกลืมตัวไปมั้งว่าเป็นคน

ก็เข้าคุกไปตามระเบียบ



- โจรบื้อฉกเก๋ง-น้ำมันหมด

เรื่องความซื่อบื้อคงไม่มีใครเกินรายนี้

บ่าย 22 ก.ค. นายธนโชค สิงหนุวงศา อายุ 30 ปี ผู้จัดการเต็นท์รถ "แชมป์ คาร์เซ็นเตอร์" สี่แยกมไหสวรรย์ กทม. พบนายวินัย แสนคำ ทำทีเข้ามาติดต่อขอซื้อรถเก๋งมิตซูบิชิ นิวแลนเซอร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน ชช 4468 กทม.

ในช่วงที่นายธนโชคกำลังมัวแต่ทำสัญญาซื้อขายรถกับลูกค้าอีกราย นายวินัยก็มั่วนิ่มเดินออกไปสตาร์ตเก๋งมิตซูบิชิขับออกไปหน้าตาเฉย บอกเด็กหน้าร้านว่าวางมัดจำไว้แล้ว

แต่แล้วรุ่งขึ้น จู่ๆ นายวินัยก็โทรศัพท์กลับมาที่เต็นท์ พูดตัดพ้อต่อว่าเอารถเสียมาขาย เพราะขับออกจากเต็นท์ได้ไม่นานเครื่องก็ดับ โดยที่นายวินัยไม่รู้ว่ารถน้ำมันหมดกลางทาง

จึงขอให้เปลี่ยนรถคันใหม่ให้ ว่าแล้วนายวินัยก็จอดรถรออยู่แถวปากซอยสาทร 16 แขวงสีลม เขตบางรัก

เจ้าของเต็นท์รถก็ไปทันที-แต่พร้อมกับตำรวจ

นายวินัยหน้าถอดสียอมจำนน โดยสารภาพว่าชอบเก๋งมิตซูบิชินิวแลนเซอร์คันนี้มาก เทียวดูรถที่เต็นท์แห่งนี้มาหลายครั้ง พอสบโอกาสเลยขับออกไป

ผู้ต้องหาไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่ง เคยถูกจับข้อหายาเสพติดถึง 4 ครั้ง

เลยไม่รู้กระทั่งว่ารถน้ำมันหมด



-ตลกร้ายของ"วิสุทธิ์"

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองด้วยความแปลกประหลาดมาตลอด

มาเป็นผบก.ภ.อ่างทอง ก็ยังแถลงข่าวผู้ต้องหาค้ายาบ้าอย่างพิลึกพิลั่น

ครั้งแรกเมื่อ 27 เม.ย. แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาค้ายาบ้า 2 ราย โดยให้ผู้ต้องหาคาบถุงยาบ้าของกลางโชว์ ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม

นายสุรสีห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านกระบวนการยุติธรรมและตำรวจ ระบุว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา เนื่องจากในชั้นจับกุมยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงจะรับสารภาพศาลก็ยังไม่รับฟัง ดังนั้นในชั้นจับกุมตำรวจจึงไม่มีสิทธิปฏิบัติเยี่ยงนั้นต่อผู้ต้องหา

แม้จะอ้างว่าต้องการให้หลาบจำก็ไม่ได้

ถึง 17 มิ.ย. ยังแสดงความพิลึกพิลั่นอีก ในวันแถลงข่าวคดียาบ้าเช่นกัน สั่งให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ป้าย "เดนมนุษย์" และ "อมนุษย์" แทนชื่อผู้ต้องหา

แม้จะถูกท้วงติงจากสังคม ก็ยังยืนกรานว่าผู้ค้ายาเสพติดถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศ และไม่ได้ประจาน เพียงอยากให้สำนึกเท่านั้น

ย้ายไปใต้แล้วจะกล้าแผลงฤทธิ์แบบนี้อีกไหม?



-จ๊าก-ซื้อผักได้ถุงยาง

ถุงยางอนามัยเขาใช้ประกอบกิจกรรมส่วนตัวในที่ลับ แต่แม่ค้ารายนี้กลับมาใช้รัดผัก

22 มิ.ย. นายสุดใจ พรมเลิศ อายุ 36 ปี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าไปเลือกซื้อผักพื้นบ้านที่แม่ค้านำมาวางขายตามริมถนนในตลาดสดพลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อนำไปกินกับขนมจีนที่บ้าน

เมื่อนำไปให้ภรรยาล้างทำความสะอาดเพื่อเตรียมกินกับขนมจีน ปรากฏว่าสิ่งที่ใช้มัดผักไม่ใช่หนังยางแบบแม่ค้าใช้กันทั่วๆ ไป แต่กลับเป็นชิ้นส่วนของถุงยางอนามัย หากไม่สังเกตจะไม่รู้

โดยแม่ค้านำส่วนที่เป็นห่วงคล้ายหนังยางมามัดแทน แต่ยังหลงเหลือเศษถุงยางส่วนที่เป็นปลอกที่ยังเอาออกไม่หมดติดอยู่ด้วย

ภรรยาถึงกับผงะและคลื่นไส้อ้วกแตก

ตรวจสอบพบว่า ซื้อผักมาจากนางพร แก้วมณี อายุ 51 ปี แม่ค้าชาวจ.พัทลุง ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับโดยดุษณีว่าใช้ถุงยางอนามัยรัดผักจริง เนื่องจากหนังยางที่ใช้หมดพอดี จึงแก้ขัดโดยใช้ถุงยางอนามัยส่วนที่เป็นห่วงรัด

เหตุที่คว้าถุงยางมาทนแทนหนังยาง เนื่องจากลูกสะใภ้ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตถุงยางอนามัยนำถุงยางกลับมาให้

เจ๊แกยืนยันว่าเป็นถุงยางอนามัยใหม่ไม่เคยผ่านการใช้งาน

แต่ใครล่ะจะทำใจได้



-จาก "เห้" เป็น "วรนุส"

วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว เมื่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีแนวคิดเปลี่ยนชื่อตัวเงินตัวทองเป็น "วรนุส"

เดือดร้อนถึงคนชื่อวรนุชสะดุ้งไปตามกัน โดยเฉพาะนางเอกดัง "นุ่น" วรนุช วงษ์สวรรค์

1 ก.ค. นายชัชวาล พิศดำขำ ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.)ฯ เสนอเปลื่อนชื่อสัตว์เลื้อยคลาน "ตัวเงินตัวทอง" เสียใหม่ว่า "วรนุช" หรือ "วรนุส" หรือ "วรนัส"

ซึ่งใกล้เคียงและคล้ายกับชื่อทางวิทยาศาสตร์ของสัตว์ประเภทนี้ว่า "Varanus salvator"

เหตผลก็เพื่อทำให้คนเลิกเอาชื่อตัวเห้ไปเป็นคำด่าทอกันอีก

ปรากฏเพียงวันเดียวกรมอุทยานฯ กลับลำแทบไม่ทัน รีบชี้แจงพัลวัน

"ข่าวที่ออกมาอาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดในการสื่อสารของผมเอง ต้องขอโทษผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย เพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายขึ้น

"เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่าสัตว์ชนิดนี้ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ดุร้าย ที่จ้องจะทำร้ายผู้อื่น ถ้าไม่ถูกทำร้ายก่อน หรือจนมุมจริงๆ แต่มันกลับมีประโยชน์ในระบบนิเวศ

"จึงไม่อยากให้รู้สึกรังเกียจมันเท่านั้น"

ป่านนี้วรนุชทั้งหลายยังสะดุ้งไม่หาย


หน้า 10
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNekF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ผ่าดวงการเมืองปีเสือผยอง

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


ผ่าดวงการเมืองปีเสือผยอง





การเมืองไทยก้าวข้ามปีวัวอย่างทุลักทุเล

สู่ศักราชใหม่ปีเสือ แต่ดีกรีความร้อนแรงของการต่อสู้และระดับความขัดแย้งในสังคมยังคงต่อเนื่อง

บรรดาโหรชื่อดังต่างฟันธงการเมืองปีเสือผยองจะปะทุร้อนแรงเข้าขั้นเดือดองศาแตก

-ภิญโญ พงศ์เจริญ

นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ

ปี"53 ประเทศไทยจะเกิดอุปราคาขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.52 -1 ม.ค.53 เกิดจุดจันทร์เพ็ญในวันที่ 1 ม.ค.53 เวลา 02.14 น. เกิดจันทรุ ปราคาบางส่วนในราศีมิถุน ธาตุลม

จันทรุปราคายังผลให้มีส่วนเกี่ยวโยง กับเรื่องของการเมือง สังคม ประชาชนคนหมู่มาก ส่วนสุริยุปราคายังผลเกี่ยวกับผู้ปกครอง การใช้อำนาจปกครอง กษัตริย์หรือรัฐบาล นายกฯ และการเมืองของประเทศ

จันทรุปราคาครั้งนี้ บังเกิดในราศีคนคู่ ก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากซับซ้อน รัฐสภาถูกครอบงำโดยผู้มีอิทธิพลและผลประโยชน์ มีปัญหายุ่งยากในการร่างกฎหมาย คณะพรรคการเมืองแตกแยก มีปัญหายุ่งยากกับประเทศเพื่อนบ้านและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยผู้มี อิทธิพลต่างถิ่นต่างแดน

ปี 2553 มีอิทธิพลที่เกี่ยวโยงกับประชาชนหมู่มาก เกิดวิวาทะที่รุนแรงพร้อมๆ กับการใช้กำลังอาวุธ การต่างประเทศมีปัญหาความขัดแย้ง เกิดวิวาทะทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้นำ โดยเฉพาะเรื่องความคิด เกิดการเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศ สังคม

เมื่อเกิดอุปราคาขึ้นจะมี อิทธิพลทำให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเป็นปฏิปักษ์และมีผลประโยชน์แอบแฝง ทำให้เกิดอุปสรรคและมีปัญหาที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน

อุปราคาครั้งที่ 2 เกิดจุดจันทร์ดับในวันที่ 15 ม.ค.53 เวลา 14.12 น. บังเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนในราศีมังกร ก่อให้เกิดผลขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ยังก่อให้เกิดกับด้านการเมือง การต่างประเทศ รมว.ต่างประเทศ และนำความยุ่งยากให้กับผู้นำ บุคคลสำคัญ นายกฯ คณะรัฐบาล ประชาชน

มี การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รัฐบาลมีคะแนนนิยมต่ำลงเพราะปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชั่น อำนวยความอับโชคให้กับรัฐบาล นายกฯ รัฐบุรุษ จะเกิดความยุ่งยากในวงการรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล

ระวังการสูญเสียบุคคลสำคัญ เกิดการลอบสังหาร ปลงชีวิตบุคคลสำคัญ การปฏิวัติรัฐประหารอาจมีให้เห็น

สุริยุปราคา ในราศีมังกรของดวงเมืองและดวงโลก หมายถึงผู้นำประเทศ บุคคลสำคัญโดยเฉพาะนายกฯ จะมีอิทธิพลบังเกิดความอับโชคแก่รัฐบาล โจมตีใส่ร้ายบุคคลสำคัญเพื่อให้เกิดความมัวหมอง แตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย

ตลอด ปี"53 ราหูโคจรอยู่ในราศีธนูตลอดทั้งปี ราศีธนูเป็นภพที่ 9 คือดวงเมือง หมายถึงการเมือง การต่างประเทศ เมื่อราหูบาปเคราะห์โคจรจึงเกิดการเคลื่อนไหวในวงการดังกล่าว เกิดปัญหาความวุ่นวายเสียหาย

ราหูโคจรมาทับดาวพฤหัสบดีจะสูญเสีย ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ สูญเสียผู้นำบุคคลสำคัญในวงการเมือง ประการสำคัญคือ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรยศยังทำตนเป็นศัตรูลึกลับทางการต่างประเทศ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

อิทธิพลของราหูยังส่งผลให้มีการเดินขบวนชุมนุมประท้วงเรียกร้อง ละเมิดกฎหมาย ใช้อำนาจบาตรใหญ่ปรากฏให้เห็นตลอดทั้งปี

ด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดาวพุธเป็นดาวสื่อสาร ดาวการพูด การทูตคือเขมรและลาว ควรระมัดระวังเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ความขัดแย้งจะขยายตัวไปสู่ลาว พม่า และจีนได้อีก

ในปี"53 ดาวเสาร์โคจรอยู่ในราศีกันย์ตลอดทั้งปี เข้าสู่ราศีกันย์ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.52 จนถึงวันที่ 7 ก.ค.55

การ บริหารราชการแผ่นดิน นายกฯ รัฐบาลเกิดปัญหาและอุปสรรค มีอริศัตรูดาหน้าออกมาขัดขวางและก่อกวนให้เกิดความวุ่นวาย รัฐบาลจะประสบกับความอ่อนแอ บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย รัฐบาลต้องเหน็ดเหนื่อย พยายามแก้ไขปัญหา

แม้ทำได้ก็จะประสบความสำเร็จ แต่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หากทนไม่ได้ก็จะถอดใจ มีการยุบสภา จัดเลือกตั้งใหม่

ส่วนดาวเสาร์เล็งดาวพุธ มีสภาพของราหูติดอยู่ เมื่อดาวเสาร์โคจรมาทับ เล็งพุธในดวงชะตาแล้ว จะมีโชคลาภ ทั้งศัตรูก็จะแพ้ไปด้วย

สิ่ง ที่น่าพิจารณา คือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเขมรและลาว จึงควรระมัดระวังเรื่องความสัมพันธ์ให้ดี จะเกิดวิวาทะทางการทูต ความขัดแย้งจะขยายตัวไปสู่ประเทศอื่นๆ ปัญหาไม่ยุติง่ายๆ

หลังจาก วันที่ 26 เม.ย.53 ไปแล้วจะดีขึ้น ดาวคู่แห่งการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยเล็งกันในภพอริและวินาศของดวงเมือง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ จะเลือกตั้งใหม่กันหรือจะถูกยึดอำนาจให้เลือกเอาเอง

ปี"53 ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ 2 ช่วงเวลา คือ วันที่ 1 ม.ค.-26 เม.ย.53 ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ในราศีกุมภ์ ช่วงที่ 2 วันที่ 26 เม.ย.53 ถึงวันสิ้นปี ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ในราศีมีน ดวงเมืองหมายถึงรัฐสภา การบัญญัติกฎหมายต่างๆ ทำให้เกิดประโยชน์กับรัฐสภา

รัฐสภาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น การบัญญัติกฎหมายสำคัญในระบอบประชาธิปไตยจะผ่านการพิจารณาด้วยความราบรื่น ประการ สำคัญ คือนักการเมือง พรรคการเมือง จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือนเทพแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับมาร

พรรคเทพไปอยู่กับพรรคมาร พรรคมารไปอยู่กับพรรคเทพ เป็นการแลกกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

นายกฯ ต้องรักษาตัวให้ผ่านวันที่ 26 เม.ย.53 ไปก่อนถึงจะดีขึ้น ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ในราศีมีนภพวินาศของดวงเมือง ปลายเดือนเม.ย.53 จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ

ดวงชะตาของอดีตนายกฯ ทักษิณ ปี"53 จะเป็นปีหม่นหมอง มีเรื่องต้องเสียทรัพย์สินจำนวนมาก มีปัญหาสุขภาพ อุบัติเหตุ การลอบสังหาร แต่มีจุดดีคือดาวเสาร์เล็งไปที่ราหู น่าจะมีโชคเกี่ยวกับทรัพย์สิน ถ้าถูกศาลยึดทรัพย์ก็อาจถูกยึดไม่หมด

จะมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยในช่วงวันที่ 26 เม.ย.53 ถึงพ.ค.54 จะติดต่อกับหุ้นส่วนมากขึ้น ปัญหาต่างๆ คลี่คลายหลัง 7 ก.ย.55



-พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา

นักโหราศาสตร์

ดวงบ้านเมืองในปี"53 การเมืองจะมีปัญหาการแก่งแย่งอำนาจ อำนาจที่จะสูญเสียไป อำนาจที่จะได้มา หวังผลประโยชน์ ฝ่ายไหนมีเงินมากจะชนะเลือกตั้ง มีการคอร์รัปชั่นกัน มากขึ้น ทุกอย่างเต็มไปด้วยเกมการเมือง พวกใครพวกมันถึงจะอยู่ได้ จะเป็นแบบนี้เรื่อยไป

เดือนธ.ค.52 ถึงเดือนม.ค.53 เป็นเดือนแห่งความเกลียดชัง เป็นผลมาจากในอดีตแบ่งเป็นพรรคเป็นพวก มีการล้างแค้นเกิดขึ้น ถึงลอบฆ่ากันเพราะมีผลประโยชน์สูง ใช้คำพูดโจมตีกัน เกมการเมืองจะรุนแรง ถ้าเราไม่ทำให้จบจะกลายเป็นความแค้นของทั้งสองฝ่าย หากไม่สามารถปรองดองกัน จะไม่มีวันสงบ

ยังมีเหตุการณ์จันทรุปราคาในวันที่ 31 ธ.ค.52-1 ม.ค.53 เป็นช่วงรอยต่อของวันปีใหม่ เกิดจันทรุปราคาแบบบางส่วน และเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนในวันที่ 15 ม.ค.53 เวลา 14.12 น.

อิทธิพล ของสุริยุปราคา เป็นเรื่องของสุริยคราสที่ส่งผลให้จิตใจ ของคนเสื่อมลง สินค้ามีราคาแพง มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลก ส่งผลกระทบไปทั่วโลกไม่เว้นประเทศไทย

ช่วงนี้ต้องระวังการใช้คำพูด การโจมตีกัน หากใครไปทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เช่น ชุมนุมประท้วง อาจเกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดขึ้นได้ รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงมากขึ้น ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ออกมาชุมนุมทำให้มีการเปลี่ยนแปลง

สุริยุปราคาครั้งนี้จะมีรัศมีที่ รุนแรง เดือนม.ค.จะเกิดทั้งเดือน หลังจากนั้นจะเริ่มดีขึ้น พอเดือนเม.ย.จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง

คนไทยควรใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ ถือศีล 5 ทำสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลา

จาก นี้ไปนายกฯต้องระวัง อย่าใช้ความรุนแรง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม อย่าประมาท ต้องทำใจให้เย็น มีสติจึงจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้ แต่คงต้องรอให้ผ่านเดือนเม.ย.ไปก่อนการเมืองจะดีขึ้น

ส่วนดวงอดีต นายกฯ จะยังไม่ได้กลับมาในช่วงนี้ ต้องใช้เวลานาน ถ้ากลับมาช่วงนี้อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะได้รับอิทธิพลของสุริยุปราคา ต้องรอให้ผ่านช่วงเดือนเม.ย.ไปก่อน

อยากจะกลับมาก็ต้องสร้างความนิยม ทำความดีให้มากขึ้น เพื่อกลับมาต่อสู้คดี



-บุศรินทร์ ปัทมาคม

นักโหราศาสตร์ คอลัมนิสต์ข่าวสด

ปี"53 ดวงเมืองตกและตกยาวนานเกือบปี เพราะมีดาวใหญ่ตกที่เสียทีเดียว 2 ดวง คือ ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ โดยเฉพาะวันที่ 26 เม.ย.53 ถึง 4 พ.ค.54 ช่วงนี้ดวงตกมากที่สุด โดยรวมเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงกว่าปีที่แล้ว

โหราศาสตร์ เป็นวิชาของหลักสถิติ ลักษณะดวงแบบนี้คล้ายกับเมื่อปีพ.ศ.2494 ที่เกิดกบฏแมนฮัตตัน และเหตุการณ์ในพ.ศ.2500 ปฏิวัติขับไล่จอมพล ป. ออกนอกประเทศ

มีแนวโน้มว่าปีนี้จะมีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิด ขึ้นได้ น่าจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะจำนวนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นทุกวัน น่าห่วงว่ารัฐบาลจะต้านไม่อยู่ ถ้าเสื้อแดงเยอะขึ้นจะต้องมีคนเป็นทหารเอกรุกขึ้นมาทำอะไรที่ถูกใจคนส่วน ใหญ่สักครั้ง

จะมีคนประเภท จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดขึ้น ผลการปฏิวัติจะเปลี่ยนขั้วอำนาจไปเลย ช่วงเวลาน่าจะอยู่ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. เพราะดวงเมืองเป็นหลุมอยู่ 3 ช่วง คือ มี.ค.-เม.ย. ก.ย.-ต.ค. และ พ.ย.-ธ.ค.ของทุกปี

การลอบฆ่าบุคคลสำคัญ ผมไม่กล้าพูด ส่วนการเลือกตั้งดูแล้วไม่น่าเกิด ดวงเมืองกว่าจะสงบได้ยาวไปถึง 4 พ.ค.54 ถึงวันนั้นจะมีผู้อื่นเข้ามาบริหารจัดการแทน

ผู้นำประเทศต้องตั้งการ์ดให้ดี ระวังปัญหาให้มากกว่าเดิม แม้จะระวังยาก แต่ก็ต้องระวัง ทำใจให้เข้มแข็ง

สำหรับ พรรคประชาธิปัตย์ ดวงชะตาตกมีเคราะห์ ระยะตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.52 ถึง 26 เม.ย.53 ทำนายได้ว่าพรรคควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองลำบาก โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกของปี

คำว่าตกมาก มีอาการคล้ายๆ กับว่าคนไม่ค่อยเกรงกลัว และมีผู้ใหญ่เป็นศัตรู ต้องมีเหตุขัดใจกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ในที่นี้ไม่ได้อยู่ในพรรค แต่เป็นผู้อาวุโสกว่าที่พรรคเคารพนับถือ

เข้าใจว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทำอะไรขัดใจกัน ตรงนี้จะทำให้ทำงานลำบาก หรือถ้ามีปัญหาก็เป็นปัญหาที่พรรคแก้ไขลำบาก มีศัตรูรุกรานง่าย เรียกว่าเป็นช่วงที่แพ้ง่าย เพลี่ยงพล้ำง่าย ฉะนั้นควรถนอมตัวให้ดี ก่อนทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ

สภาพดวงตกแบบนี้ หลวมไม่ได้


หน้า 3
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

"ก้าวที่พลาด" บทเรียนรอบปีสธ.

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


"ก้าวที่พลาด" บทเรียนรอบปีสธ.





ผ่าน ไป 1 ปีไวเหมือนโกหก และดูเหมือนจะเป็นปีที่ค่อนข้างหนักหนา สำหรับกระทรวงหมอเพราะ มีเรื่องใหญ่ๆ ให้เวียนหัวและตาม แก้ปัญหายังไม่จบ ซึ่งทีมข่าวสาธารณสุข จะได้สรุปให้เห็นภาพชัดๆ กันอีกที



หวัดใหญ่อาละวาด : สธ.อ่วม

นัก ระบาดวิทยาคาดการณ์มาหลายปีว่าจะเกิดระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสใดไวรัสหนึ่ง อย่างแน่นอน แล้วก็เป็นไปตามที่คาด เพราะตั้งแต่ช่วงต้นปีมาเรื่อยจนเกือบปลายปี เราได้รู้จักไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 หรือไข้หวัด 2009

ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ 28 เม.ย.ถึงปลายปีมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 200 คน ในขณะที่สถานการณ์การระบาดทั่วโลกก็กลับมาระบาด ระลอก 2 อีกครั้ง

ก้าวพลาดของสธ.ดูเหมือนจะเป็นการรับมือในช่วงต้น ที่ถือว่ามีความสับสนอย่างมาก

จึงกลายเป็นความแตกตื่นมากกว่าตื่นตัว

จน เมื่อมีการตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และ สาธารณสุข ซึ่งมี น.พ.ประเสริฐ ทองเจริญ เป็นประธาน และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมอยู่ด้วยหลายด้าน โดยไม่มีส่วนของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจึงทำให้การทำงานปรับอย่างเป็นทิศ ทางและมีการให้ความรู้ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีในการวางแผนป้องกันในครั้งต่อไป



พิษไทยเข้มแข็ง : สธ.ระบมแถมกลัดหนอง

ข่าว ฉาว โกง ฮั้ว กับกระทรวงสาธารณสุข คล้ายว่าจะกลายเป็นของคู่กัน เพราะไม่เคยว่างเว้นข่าวปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เนื่องจากเป็นกระทรวงใหญ่ที่มีงบประมาณจำนวนมาก

ยิ่งในปีนี้ กระทรวงหมอได้รับงบประมาณก้อนใหญ่จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือ โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ชมรม แพทย์ชนบท ได้เปิดฉากออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลของการจัดทำงบประมาณ และเปิดเผยอักษรย่อนักการเมืองข้า ราชการประจำทั้ง ต. ม. ส. ก. ที่เข้าไปมีส่วนพัวพัน

ด้วยเหตุที่เป็นงบประมาณก้อนใหญ่มีการจัดสรร หลายส่วน ทำให้การจัดทำงบประมาณครั้งนี้ดูเหมือนจะมีช่องโหว่ ทั้งการขอการทำงบฯหลวมๆ กำหนดเพดานวงเงินให้สูงเกินจริงไว้ก่อน เพราะหากเงินเหลือก็ต้องคืนคลัง แต่หากเงินขาดจะขอเพิ่มไม่ได้ รวมถึงระยะเวลาในการจัดทำงบฯเพียงสั้นๆ แต่ต้องทำรายการครุภัณฑ์ถึง 7,000 รายการ ทำให้มีรายละเอียดจำนวนมากจึงมีข้อผิดพลาด

แต่ความผิดปกติ ที่เกิดขึ้น คือมีรายการครุภัณฑ์บางอย่างโดยเฉพาะ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ ยูวีแฟน ที่ทั้งมีราคาสูง และไม่ได้เป็นความต้องการของพื้นที่ และยังถูกแฉว่านักการเมืองระดับบิ๊กในสธ.บางคน ถึงขั้นเรียกพบบริษัทขายรถที่โรงแรม เจรจาขอเพิ่มส่วนต่างของรถพยาบาล คันละ 1 แสนบาท เรียกมากจนเอกชนไม่ยินยอม และยังมีรถพยาบาลฉุกเฉิน เครื่องตรวจหาสารชีวะเคมีในเลือด งบฯ ในการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลมากมายเกินจำเป็น ไม่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่

ทำให้ต้องตั้งคณะกรรมการสอบอย่างละเอียดยิบ คงต้องรอดูว่าจะหาตัวคนคิดโกงได้ หรือเป็นแค่มวยล้มต้มคนดูกันแน่



พ.ร.บ.เหล้า : แค่เขียนเสือให้วัวกลัว



พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เริ่มบังคับใช้มาครบปี ซึ่งจุดประสงค์ของพ.ร.บ.นี้ คือ ควบคุมปริมาณการดื่มสุราของประชาชน เพื่อลดปัญหาและผลกระทบต่างๆ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม

แต่หลังพ.ร.บ.ประกาศใช้มา 1 ปี การบังคับใช้กฎหมายยังไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้เท่าไหร่ เนื่องจากหลายมาตรการที่อยู่ใน พ.ร.บ.จำเป็นต้องมีการออกประกาศ หรือกฎหมายลูกออกมากำหนดแนวทางการปฏิบัติและการกระทำผิด รวมถึงบทลงโทษ

การเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายก็ยังติดขัด เหตุจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สร้างกำไรมหาศาลให้แก่คนบางกลุ่ม

เริ่ม ตั้งแต่แนวคิดประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่เกิดแรงค้านอย่างหนัก ทั้งจากผู้ประกอบการ ร้านค้า ผู้ผลิต เพราะเกรงจะกระทบต่อการท่องเที่ยว

สุดท้ายก็สามารถออกประกาศได้ เพียง เรื่อง พื้นที่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น

โดยใน ช่วงสุดท้ายปลายปียังเตรียมออกกฎหมายลูกอีก 4 ฉบับ เพื่อคุมเหล้าปั่น ที่ระบาดไปทั่วเมืองโดยเฉพาะรอบสถานศึกษา การกำหนดให้ติดภาพคำเตือนที่บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด การกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกำหนดสถานที่หรือบริเวณที่ห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอก จากนั้น ยังมีกฎหมายลูกที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการห้ามโฆษณาในสื่อต่างๆ ที่ยังเถียงกันไม่จบ เพราะมีความพยายามของบริษัทน้ำเมาที่จะหาช่องโหว่กฎหมาย และรูปแบบการโฆษณา กลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้ อยู่ตลอดเวลา

จะเดินหน้าได้หรือไม่คงต้องถามไปที่ความจริงใจของรัฐบาลว่าอยู่ข้างใครประชาชนหรือบริษัทเหล้า!!!



ม็อบเสื้อขาว : เดินหน้าทวงสิทธิ์!!



ตลอด ปีที่ผ่านมาดูเหมือน สธ.จะไม่ว่างเว้นจากม็อบ โดยเฉพาะม็อบเสื้อกาวน์ เสื้อขาว ที่ตบเท้ากันมาเรียกร้องขอค่าตอบแทนเพิ่ม หลังจากเพิ่มค่าตอบแทนให้แพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน หรือแพทย์ชนบท เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้แพทย์ทำงานอยู่ในพื้นที่ได้นานขึ้น เนื่องจากต้องประสบปัญหาสมองไหล แพทย์ไม่ยอมอยู่ประจำพื้นที่ทุรกันดาร

หลังจากเพิ่มค่าตอบแทนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียกร้องค่าตอบแทนจากทั้งแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป

เพราะทุกฝ่ายต่างก็อ้างว่าต้องทำงานหนัก ควรได้รับค่าตอบแทนเพิ่มด้วย

กลาย เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้น เมื่อเพิ่มให้คนหนึ่งจะไม่เพิ่มให้อีกคนก็ไม่ได้ เหมือนเป็นพ่อแม่ที่รักลูกไม่เท่ากัน แต่หากจะให้ทั้งหมดก็ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ สะท้อนการแก้ปัญหาที่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่ศึกษาทั้งระบบว่าต้องทำอย่างไรมาก่อน

ปัญหาจึงยังคงหมักบ่มและรอวันปะทุได้ทุกเวลา



ลวดในยาพาราฯ : ผิดพลาดหรือไร้คุณภาพ



อยู่ ดีๆ กินยาก็ได้ลวดเป็นของแถม เมื่อเด็กหญิงวัย 9 ขวบ เกิดอาการปวดหัวเป็นไข้ แม่ไปซื้อยามาให้จากร้านใหญ่ในตลาดเมืองแพร่ มาแบ่งซีกพบเส้นลวด

ถือเป็นการบกพร่องจากกระบวนการผลิต ซึ่งยาดังกล่าวเป็นขององค์การเภสัช กรรม (อภ.) ที่จ้างบริษัทอื่นผลิตให้ แต่เป็นโรงงานที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพแล้ว แต่ถือเป็นการผิดพลาดจากกระบวนการตรวจสอบสินค้าทำให้เล็ดลอดออกมาสู่ผู้ บริโภคได้

กรณีดังกล่าว ผู้จำหน่ายและผู้ผลิต ได้รับผิดชอบอย่างเต็มที่และยาที่ผลิตจากโรงงานดังกล่าวต้องเรียกกลับหมด ล็อตการผลิตเดียวกันที่พบปัญหานี้ มีทั้งสิ้น 4 ล็อต ล็อตละ 3 แสนเม็ด รวม 1.2 ล้านเม็ด และเก็บยาล็อตดังกล่าวออกจากชั้นวางยาทั่วประเทศ

เรื่อง ของการควบคุมคุณภาพในการผลิตยา ถือเป็นงานสำคัญเพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นผลกระทบที่จะตามมาอาจร้ายแรงและ เกิดความเสียหายมากกว่าที่คิด หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ลวดชิ้นเล็กๆ แต่เป็นการปนเปื้อนสารที่มีอันตรายจะเป็นอย่างไร

ถือเป็นอีกบทเรียนที่ต้องจำและแก้ให้ดีต่อไป

บทเรียนที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา เชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุข คงได้เรียนรู้และจะพยายามหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้ยังเป็น


หน้า 30
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFpIVXdNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNeE5RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

เด็กๆ ส่งความสุข ฉลองปีใหม่ 2553

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


เด็กๆ ส่งความสุข ฉลองปีใหม่ 2553





มาแล้ว มาแล้ว ปีใหม่มาถึงแล้ว ใครยังไม่ทันตั้งตัวล่ะก็วันนี้ยังทัน เรามาเริ่มใช้ชีวิตอย่างสดใสในปีใหม่กันดีกว่า

ถ้าเจออุปสรรคปัญหาอะไร ทำใจดีๆ สู้เสือไว้ก่อน (ไหนๆ ปีนี้ก็จะเป็นปีเสือ) แล้วค่อยๆ แก้ไขไปนะ หากำลังใจที่ไหนไม่ได้ก็มาดูตรงนี้เลย มีเพื่อนๆ ส่งบัตรอวยพรส่งความสุขกันมามากมาย

ใครยังส่งไม่ทัน ตอนนี้ยังทัน ส่งได้ถึงวันที่ 10 ม.ค.2553 พี่ขลุ่ยจะทยอยลงให้ชื่นชมกันไปเรื่อยๆ ตลอดเดือนฉลองปีใหม่

ที่นี่จะเป็นเวทีเยาวชนของทุกคน ตลอดปีตลอดไป





ขอพรปีใหม่นี้

เป็นอีกปีหนึ่ง ที่นำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์

ความสำเร็จ และความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต



1. น.ส.พรนภา บางกระ

โรงเรียนเทคโนโลยีปทุมธานี จ.ปทุมธานี



2. ด.ช.นูรดิน พีแม ป.6

โรงเรียนบ้านลดา จ.ปัตตานี



3. ด.ญ.วรนิษฐา โชติช่วงนิรันดร์ ชั้น ป.4/1

โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์





4. ด.ญ.ฐิติกา ตาปิ๋วเครือ ชั้น ป.6

โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรคโลก จ.สุโขทัย



5. ด.ญ.ตชานัน ผูกพันธ์ ป.6/4

โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรคโลก จ.สุโขทัย



ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว

ประสบความสุข ความเจริญรุ่งเรือง

ด้วยจตุรพิธพรชัยในสิ่งอันพึงประสงค์

สุขสมปรารถนาทุกประการ



6. ด.ญ.มลณรินทร์ เข็มศรีสุวรรณ์ ชั้น ป.6/5

โรงเรียนเทศบาลสวรรคโลก จ.สุโขทัย



7. ด.ญ.พลอย คมปราด ป.6/5

โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรคโลก จ.สุโขทัย



8. ด.ญ.เปมิกา โชติช่วงนิรันดร์ ป.4

โรงเรียนเซนต์ยอแซฟกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์



9. ด.ช.ศุภสิทธิ์ ประสานชัย ป.6

โรงเรียนเซนต์นิโกลาส จ.พิษณุโลก




10. ด.ช.วรรธนัย ธรรมพัฒนากูล

โรงเรียนอนุบาลพิษณุโลก จ.พิษณุโลก



พระดำรัส

"..ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งความหวัง

ตั้งความเพียรพยายามอันมั่นคงไว้

เพื่อที่จะต่อสู้ ช่วยตัวเองให้หนักแน่นยิ่งขึ้น

ให้แต่ละคนมุ่งมั่นประกอบหน้าที่การงานทุกๆ อย่าง

ด้วยความอุตสาหพยายามด้วยความสุจริต

รักษาความสามัคคีในหมู่ไทยไว้ให้แน่วแน่

โดยยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง

เป็นจุดประสงค์อันอุดม..."



11. ด.ญ.ปาริชาติ พลายพูลทรัพย์ ชั้น ป.2/2

โรงเรียนกัลยวิทย์



12 ด.ญ.ชนิสรา ขอสวัสดิ์ ป.6/4

โรงเรียนเทศบาลเมืองสวรรคโลก



13. ด.ญ.ภัทรณิชา ดวงสดใส ป.1/3

โรงเรียนธิดานุเคราะห์ จ.สงขลา

สวัสดีปี 2553

ขอให้คนไทยรักกัน มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย

มีความสุขกันทุกคน ขอให้เด็กไทยตั้งใจเรียน จะได้เรียนเก่งๆ กันทุกคน



14. ด.ญ.ณิชาภัทร ดวงสดใส ป.5/3

โรงเรียนธิดานุเคราะห์ จ.สงขลา



15. ด.ญ.ณัฐพร พูลทวี

โรงเรียนวัดไทร (สินศึกษาลัย) จ.นครปฐม



วันปีใหม่นี้ ชีวีสดใส

เริ่มต้นวันใหม่ สุขใจทั่วกัน

กลอนบทนี้ฉันขอมอบให้ทุกคน โดยเฉพาะพ่อและแม่ของฉัน



16. ด.ญ.มินตรา อยู่ในวงศ์

โรงเรียนวัดไทร (สินศึกษาลัย) จ.นครปฐม



ปีใหม่นี้หนูขอให้พ่อแม่มีความสุข ร่างกายแข็งแรง



17. ด.ญ.เนตรชนก ปิยะพันธุ์

โรงเรียนวัดไทร (สินศึกษาลัย) จ.นครปฐม

สวัสดีปีใหม่ขอให้ทุกคนมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง อยากได้อะไรก็ขอให้สมปรารถนา



สวัสดีปีใหม่ ขอให้สุขสันต์

แข็งแรงทุกวัน มีความสุขเอย





18. ด.ญ.ธนพร อ่อนจันทร์

โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ จ.กรุงเทพฯ



หน้า 26
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNeE1RPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

ชุมทางน้ำใจ"พาเยี่ยมบ้านสงเคราะห์ฯ เด็กถูกทิ้ง-คนเร่ร่อนที่ต้องการกำลังใจ

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6973 ข่าวสดรายวัน


"ชุมทางน้ำใจ"พาเยี่ยมบ้านสงเคราะห์ฯ เด็กถูกทิ้ง-คนเร่ร่อนที่ต้องการกำลังใจ





"ชุม ทางน้ำใจ"ขอร่วมสวัสดีปีใหม่กับทุกท่านๆ ที่ติดตามคอลัมน์นี้หลายครั้งที่นำเสนอหน่วยงานที่รับอุปการะเด็กหรือผู้สูง วัย คนพิการ ที่ถูกทอดทิ้งไม่ว่าจะเป็นสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์,สถานสงเคราะห์ เด็กปัตตานี,สถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด (บ้านนนทภูมิ),สถานสงเคราะห์ชายธัญบุรี ฯลฯ สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เริ่มต้นศักราชในวันนี้ มารู้จักหน่วยงานเหล่านี้กันหน่อย กระจายอยู่ในแต่ละภูมิภาค เพื่อรองรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งทั้งจงใจหรือไม่จงใจบางรายพ่อแม่ไม่สามารถ เลี้ยงดูลูก มาฝากไว้ก่อนจากนั้นก็หายไป มีตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 18 ปี

เริ่มจากสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 17 ไร่เลขที่ 63/3 หมู่ 4 ต. ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มีนางจิราพร เชาวน์ประยูร ยามาโมโต้ เป็นผู้ปกครอง ดูแลเด็กจำนวน 644 คน เผยว่ากำชับเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาว่าการเลี้ยงดูเด็กต้องรู้สึกว่าเป็นพ่อแม่ เด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เด็กรู้ว่านี้คือบ้านของตนเอง

ส่วนการศึกษานั้นอย่างน้อยที่สุดคือระดับภาคบังคับให้เด็กได้เรียนหนังสือ กระจายไปตามโรงเรียนต่างๆ ภายในจังหวัด รายที่เรียนล่าช้าให้เรียนพิเศษ ที่ผ่านมาจบระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัย ราชภัฏ วิทยาลัยพลศึกษา รายไหนไปไม่ไหวทางวิชาการก็ให้เรียนสายอาชีพ ที่มีปัญหาทางด้านสมองเรียนหนังสือไม่ได้ให้เรียนรู้ เย็บปักถักร้อย ถักนิตติ้ง โครเชต์ เพื่อเป็นรายได้เสริม

"มีหลายคนออกไปแล้วกลับมาเยี่ยม ช่วยเหลือกิจกรรมดูแลน้องๆ ที่ยังเล็ก"

เด็กคนไหนมีพ่อแม่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำเราก็ให้ไปเยี่ยม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพ่อแม่เป็นสายใยแห่งครอบครัว

"มีโครงการบุตรบุญธรรม รับเด็กไปเลี้ยงนอกสถานที่จะให้การสนับสนุนทางด้านค่าใช้จ่ายในการเรียน หนังสือตลอดจนให้ค่าตอบแทนรายละ 2,000 บาท ประเมินจนกว่าเด็กเรียนจบและช่วยเหลือตัวเองได้"

ทุกคนที่บ้านมีโอกาสสัมผัสสังคมภายนอกจะพาไปเที่ยว ซื้อของ ทานอาหารเมื่อถึงเทศกาลต่างๆโดยเฉพาะช่วง สิ้นปี -ปีใหม่ ทุกปี จัดกิจกรรมกันบริเวณลานสนามหญ้าภายในบ้านเวียงพิงค์ พากันมานั่งล้อมวงกันนำมันและข้าวหลามมาปิ้งกินอย่างเอร็ดอร่อย



มาที่สถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี ตั้งอยู่เลขที่ 238 ถนนมิตรภาพอุดร-ขอนแก่น หมู่ 4 ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี ดูแลเด็กจาก 19 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีนางนงนุช สุขา ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ฯเผยว่าเป้าหมายของบ้านอุดรธานีนั้น มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สามารถพึ่งพาตนเองไม่เป็นภาระของสังคม



สำหรับเด็กแรกเกิดรับจากที่พ่อ-แม่ทอดทิ้ง บางครั้งรับมาจากโรงพยาบาลหรือที่สาธารณะ ทางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จะประกาศหาพ่อแม่ผ่านสื่อทุกชนิดจนครบ 1 เดือน ยังไม่มีใครมาแสดงเป็นพ่อแม่แล้ว ทางกรมจะประกาศงดการติดตามแล้วรับเด็กเข้าในสำเนาทะเบียนบ้านยกเลิกการ ติดตามผู้ปกครองเด็ก จะเลี้ยงเด็กตั้งแต่แรกเกิดถ้าเป็นหญิงก็จะเลี้ยงต่ออยู่ที่นี่ ส่วนเด็กชายนั้นเมื่ออายุ 7 ปีแล้วก็จะส่งไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดหนองคาย เมื่อเด็กอายุ 18 ปีแล้วอยากจะขอไปอยู่ข้างนอกก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะกลับมาอยู่ได้อีก

ปัจจุบันดูแลเด็กรวมประมาณ 200 กว่าคนเล่าเรียนหนังสือทุกระดับ ไปเรียนจะมีรถรับส่งและมีเงินค่าอาหารให้ไปด้วย ทุกคนหลังเรียนจบแล้วเราก็จะหางานให้ทำอีกด้วย และถ้าทางหน่วยงานเรามีตำแหน่งก็จะให้เด็กสอบบรรจุเข้ามา

บางท่านมีความประสงค์จะนำเด็กไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ยื่นเรื่องได้ที่ศูนย์บุตรบุญธรรมบ้านราชวิถี กรมพัฒนาฯ จะส่งประวัติและรูปถ่ายของเด็กส่งไปให้ทางกรม ไม่ว่าจะเป็นทั้งภายในหรือนอกประเทศ ส่วนขั้นตอนของการรับไปเป็นบุตรบุญธรรมในต่างประเทศต้องผ่านทูตของทั้ง 2 ประเทศด้วย

ทุกหอพักมีครูประจำหอพักหอละ 2 คน ส่วนหอพักเด็กเล็กจะมีครูประจำมากหน่อย

ส่วนด้านค่าการใช้จ่ายต่างๆ นอกจากได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว ก็ได้รับการบริจาคจากผู้ใจบุญ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร อุปกรณ์การเรียน และในวันหยุดหรือวันนักขัตฤกษ์ก็จะมีผู้ใจบุญมาเลี้ยงอาหารเด็กเป็นประจำ



ลงภาคใต้ สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง นครศรีธรรมราช ก่อตั้งขึ้นเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบวาตภัยจากพายุโซนร้อนแฮเรียตที่ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ครั้งนั้นได้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยเฉพาะที่ แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง พระราชทานเงินโดยเสด็จพระราชกุศลจำนวน 910,000 บาทให้ เป็นทุนในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตจากเหตุการณ์วาตภัย เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เช่าที่ดินวัดร้างของวัดพระเวียง เนื้อที่14ไร่ นางวิไล ปุณยเขมนันท์ ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช เปิดเผยว่าเด็กพ้นจากความอุปการะไปแล้วยังต้องติดตามผล เด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์นั้นจะเป็นเด็กชาย ส่วนเด็กหญิงนั้นจะมีเด็กแรกเกิดเมื่อโตก็จะส่งไปยังสถานสงเคราะห์ของเด็ก ผู้หญิง มีเด็กในความอุปการะทั้งหมด 220 คน



"เด็กที่ออกไปแล้วช่วยเหลือตัวเองได้ก็จะกลับมาเยี่ยมและดูแลน้อง อย่างเด็กคนหนึ่งจบปริญญาตรีทำงานและเรียนต่อจนจบปริญญาเอก เดือนเมษายนทุกปีจะมีการชักชวนเพื่อนที่มาจากสถานสงเคราะห์กลับมาเยี่ยมน้อง จัดกิจกรรมพูดคุยกับน้องให้น้องมีกำลังใจ มีเด็กคนหนึ่งถูกทิ้งอยู่หน้าร้านขายข้าวแกงหน้าร.พ.มหาราช แม่ค้านำเด็กมามอบให้ต่อมามีครอบครัวอุปการะเป็นชาวสวีเดน พอโตกลับมาเยี่ยมที่จบออกไปทำงานก็มีมากเป็นครู นักธุรกิจ ปลัดอำเภอ อยู่ที่3จังหวัดใต้"

ที่นี่มีทั้งเรื่องที่น่าดีใจและเสียใจหลายเรื่อง อย่างกรณีที่มีเด็กคนหนึ่งแม่เขาต้องโทษหลายสิบปี นำลูกมาไว้ที่นี่จนโตแม่พ้นโทษ มารับลูกกลับไปอยู่ ส่วนใหญ่เด็กถูกทิ้งแล้วมักจะไม่มีพ่อแม่มารับกลับน้อยมาก

เหตุการณ์ที่น่าสลดใจก็จะมีอย่างเด็กคนหนึ่งมีความพิการซ้ำซ้อนและแม่ทำ งานอยู่ในคาราโอเกะจ้างยายแก่ๆ ข้างบ้านมาเลี้ยงลูกวันหนึ่งแม่ตกงานแม่ก็นำเด็กมาทิ้งไว้ที่นี่ หนีไปอยู่อีสานบ้านเกิด ยายคนที่เลี้ยงเด็กติดตามเด็กมาที่นี่และขอรับเด็กไปเลี้ยงดูเพราะรักทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีรายได้ช่วยสนับสนุนในเรื่องการเลี้ยงดูและติดตามผลตลอด

ทุกวันศุกร์จะมีโครงการแสงธรรมแห่งปัญญาโดยมีพระมาเสวนาธรรมกับเด็กๆ หรือโครงการทำดีมีรางวัล ในแต่ละเดือนก็จะมีการทำบุญวันเกิดให้แต่ละคนที่เกิดในเดือนเดียวกัน

"การเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ หากเปรียบเทียบเด็กในอดีตกับเด็กในปัจจุบันนั้นจะพบว่าเด็กในอดีตรุ่นเก่าๆ จะประสบความสำเร็จมากกว่าเด็กปัจจุบัน เด็กปัจจุบันมักจะมีปัญหาซับซ้อนมาก" นางวิไลกล่าวในที่สุด



มาที่จ.ปทุมธานี สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานีที่ดูแลผู้ที่ไร้ที่พึ่งไม่ว่าจะเป็นขอทาน เร่ร่อน ที่เจ้าหน้าที่นำส่งและบุคคลไร้ญาติขาดที่พึ่ง สมัครเข้ารับการสงเคราะห์ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มีนางชีวาพร คุ้มจอหอ เป็นผู้ปกครอง มีผู้รับการสงเคราะห์ฯจำนวน 550 คน

นางภัทรมน สุจิณณานนท์ พยาบาลเทคนิคชำนาญงาน หัวหน้าฝ่ายบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งชายธัญ บุรี เปิดเผยว่าจุดประสงค์ของสถานสงเคราะห์แห่งนี้ต้องการให้ผู้ที่เข้ามาสามารถ กลับไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวและสังคมภายนอกได้อย่างปกติสุข

ผู้รับการสงเคราะห์ที่เข้ามามีเลข 13 หลักก็จะให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่นทำบัตรทองเพื่อให้สิทธิการรักษาพยาบาล แต่ถ้าเขาไม่มีก็ต้องไปคัดสำเนาทะเบียนราษฎร์เพื่อจะได้ทราบข้อมูลคัดภาพใบ หน้าของผู้รับการสงเคราะห์ สิ่งแรกที่ต้องดูแลเขาก็คือเรื่องปัจจัย 4 มีนักสังคมสงเคราะห์ มีพยาบาล มีครูฝึกร่วมกันดูว่าผู้รับการสงเคราะห์จะมีพัฒนาการไปทางใดบ้าง จัดแบ่งออกเป็นเกรด เอ บี และซี

กลุ่มเอก็จะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ นำไปฝึกอาชีพทั้งซ่อมบำรุง เกษตร บีนั้นก็จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ส่วนซีนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย การแบ่งกลุ่มก็เพื่อที่จะให้ง่ายต่อการดูแลและหากิจกรรมให้ทำ

ประเภทขอทานหลังจากที่ได้เข้ารับการสงเคราะห์ฟื้นฟูแล้ว ถ้าจะมีการขอออกไปจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เท่านั้นต้องตรวจสอบอีกว่าเมื่อออกไปแล้วมีแหล่งพักพิงที่แน่นอนหรือไม่ เป็นเรื่องยากที่จะติดตามเพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะไปขอทานอีกหรือไม่ แต่ถ้าประเภทคนเร่ร่อนเมื่อเข้ารับการสงเคราะห์ครบ 1 เดือนแล้ว เขาต้องการออกไปจากที่นี่ ไม่มีสิทธิที่กักกันไว้

บางที่คนเร่ร่อนเหล่านี้เมื่อออกไปแล้วก็จะส่งข่าวเข้ามาว่าเขามีงานทำเป็น หลักแหล่งแล้ว ส่วนใหญ่ 70-80 % สาเหตุมาจากการดื่มสุราและอาการทางจิตที่ทางตำรวจนำส่งเข้ามา มีส่วนน้อยที่ทางญาติจะมาขอรับตัวกลับไป

"บางคนก็เข้ามาเป็นสิบรอบ เขาก็ยอมรับว่าเขาควบคุมตนเองไม่ได้เขาก็ต้องไปซื้อเหล้าดื่มอีก แต่กลุ่มคนที่ช่วยตนเองได้และทำงานได้ จะหางานให้ทำเพื่อเป็นรายได้มีรับงานหลักประเภทจัดสวนให้กับบ้านธัญญาพร บ้านเด็กอ่อน "


หน้า 28
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2NtOHdNVEF4TURFMU13PT0=&sectionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TVE9PQ==

--
twitter
mondayblog /senateblog
tuesdayblog/designblog
wednesdayblog/senateblog
thursdayblog/blog1951/sunnews9
fridayblog/9fridayblog
saturdayblog /kratongblog
sundayblog /chun1951
http://www.sahavicha.com
http://teetwo.blogspot.com/2008/04/1_28.html

happy newyears




--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog

เทพเทวาพยากรณ์ ดวงที่ไม่ถูกโฉลกกับปีขาล

เทพเทวาพยากรณ์ ดวงที่ไม่ถูกโฉลกกับปีขาล

 

เมื่อวานเราว่าด้วยราศีที่ดีที่สุดกับปีขาล วันนี้มาถึง 3 อันดับ ดวงที่ไม่ถูกโฉลกหรือชงกับปีขาลมากที่สุด กับซินแซ ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล โดยช่วงท้ายซินแซชื่อดังยังแนะนำวิธีการแก้ไขดวงชะตาไม่ดีแถมท้ายมาอีกด้วย

ขาลชงกับปีวอก ถือว่าเป็นปีที่ไม่ดีมากที่สุดกับปีขาลในบรรดาทุกๆ ราศี

1.ปีวอก รอบ พ.ศ. 2547 ผู้ชายจะยุ่งผู้หญิงไม่เท่าไหร่ อาจจะมีอุบัติเหตุ

2.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2535 หนักมาก วัยที่กำลังคึกคะนองระวังให้มากทั้งผู้ชายและผู้หญิง

3.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2523 เข้าเคราะห์แต่ชายหนักกว่าหญิง

4.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2511 เป็นปีที่หนักมากทั้งผู้ชายและผู้หญิงต้องระวังให้มากที่สุดจะเจออุบัติเหตุ ถึงขั้นเสียชีวิต ระวังสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ชาย

5.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2499 ผู้หญิงต้องระวังมากที่สุดระวังสุขภาพจะเข้าโรงพยาบาล โรคภัย อุบัติเหตุ หกล้ม

6.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2487 ผู้ชายระวังให้มาก ผู้หญิงไม่มีอะไร

7.ปีวอกรอบ พ.ศ. 2475 เข้าโรงพยาบาลอาจจะจะมีโรคบางอย่างที่เข้าโรงพยาบาลหนักๆ

ปีขาลไม่เกื้อหนุนกับมะเส็ง

1.ปีมะเส็ง รอบ พ.ศ. 2544 ผู้ชายระวังช่วงต้นปี ผู้หญิงไม่มีอะไรมาก

2.มะเส็งรอบ พ.ศ. 2532 ผู้หญิงระวังผู้ชายไม่ค่อยมีปัญหา

3.มะเส็งรอบ พ.ศ. 2520 ผู้ชายให้ระวังช่วงต้นปี หญิงไม่ค่อยมีอะไรระวังเพศตรงข้ามชายระวังช่วงต้น

ปี ผ่านวันเกิด 100 วันไปแล้วจะดี

4.มะเส็งรอบ พ.ศ. 2508 ไม่ดีทั้งผู้ชายและผู้หญิงระวังหมั่นทำบุญทำทานสะเดาะห์เคราะห์ ระวังอุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาล มีโอกาสเสียชีวิต

5.มะเส็งรอบ พ.ศ. 2496 ผู้ชายดีหญิงระวังให้มากจะหนัก

6.มะเส็งรอบ พ.ศ. 2484 ผู้ชายต้นปีอยู่ใเคราะห์ปลายปีเริ่มดี ผู้หญิงไม่ค่อยมีอะไร

ปีขาลไม่เกื้อหนุนกับฉลู

1.ปีฉลูรอบ พ.ศ. 2540 ชายระวังต้นปีผ่านไปแล้วไม่มีอะไร

2.ปีฉลูรอบ พ.ศ. 2528 ชายหญิงระวัง

3.ปีฉลู รอบ พ.ศ. 2516 หญิงระวังชายไม่มีอะไร

4.ปีฉลูรอบ พ.ศ. 2504 ต้นปีผู้ชายให้ระวังปลายปีไม่แล้วไม่มีอะไร ผู้หญิงไม่มีอะไร

5.ปีฉลูรอบ พ.ศ. 2492 ผู้ชายช่วงต้นปีอยู่ในเคราะห์ปลายปีดีขึ้นผู้หญิงต้องระวังให้มาก

6.ปีฉลูรอบ พ.ศ. 2480 ผู้หญิงดีผู้ชายช่วงต้นปีต้องระวัง

 

อย่างไรก็ดี อ.ภาณุวัฒน์ ยังแนะนำวิธีบรรเทาสำหรับคนปีชง (หมายถึงไม่ดี) ด้วยว่านอกจากจะต้องทำใจตั้งรับกับปัญหาแล้ว จงอย่าหงุดหงิด อย่าวุ่นวาย อย่าไปแบกภาระ อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน อย่าไปหาเหาใส่หัว พร้อมกับต้องทำบุญ ทำทาน ถวายสังฆทาน ตักบาตร ซึ่งทั้งหมดก็จะช่วยเหลือให้ท่านผ่านพ้นปีเสือดุไปได้ ขอให้โชคดี

http://www.thairath.co.th/content/life/56036


--
โปรดอ่านบล็อก
http://www.pridiinstitute.com
http://twitter.com/sweetblog
http://twitter.com/oknewsblog
http://twitter.com/okblogger
http://twitter.com/sat191
http://www.pacc.go.th/
http://twitter.com/okblogchan
http://twitter.com/sun1951
http://twitter.com/smeblogger
http://twitter.com/seminarblog
http://twitter.com/sunnewsblog
http://twitter.com/okworldblog
http://twitter.com/ktblogger
http://twitter.com/sundayblog
http://twitter.com/mondayblog
http://twitter.com/tuesdayblog
http://twitter.com/wednesdayblog
http://twitter.com/thursdayblog
http://twitter.com/fridayblog
http://twitter.com/saturdayblog